วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"ยิ่งลักษณ์" เล่าเรื่องหลังไมค์ "หัวอกลูกผู้หญิง" 3 ผู้นำสตรีบนเวทีโลก





ขอย้อนไปเมื่อช่วงปลายเดือน มีนาคม (24-27) 55 น.ส ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการ และยังได้เข้าร่วมหารือในหัวข้อ National Measures and International Cooperration to Enhance Nuclear Security พร้อมกับผู้นำจากทั่วโลกกว่า 53 ประเทศ

แน่นอนว่าทั้งสื่อของสาธารณรัฐเกาหลีและของไทย ต่างติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวในการเยือนแดนกิมจิครั้งนี้ทุกฝีก้าว แม้กระทั่งนายกฯหญิงของไทยสวมฮันบกชุดประจำชาติของเกาหลี เป็นที่ฮือฮาเมื่อสื่อหลายสำนักนำไปเผยแพร่

กระทั่งล่าสุดภาพการประชุมผู้นำจากทั่วโลก สื่อหลายสำนักก็ให้ความสนใจในตัวนายกรัฐมนตรีหญิง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ของไทยเท่านั้น แต่ยังมีนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศเดนมาร์กและออสเตรเลียร่วมในเวทีระดับโลกนี้ด้วย

เวทีนี้จัดให้ผู้นำหญิงทั้ง 3 คนได้นั่งชิดติดกัน และมีภาพที่เหล่านายกฯหญิงต่างหันมากระซิบกระซาบกัน โดยมีนายกฯของไทยนั่งตรงกลาง ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้สตรีทั้ง 3 คน สนิทสนมกันจนกระทั่งได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสิ่งที่ผู้นำหญิงต้องเผชิญเหมือนกันระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศ


นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกฯไทย



นางจูเลีย  กิลลาร์ด นายกฯออสเตรเลีย 



นางเฮลลี่ ธอร์นนิ่ง ชมิดท์ นายกฯเดนมาร์ก 

ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ว่า ได้พบปะแลกเปลี่ยนกับ 2 ผู้นำหญิง ที่มีหัวอกเดียวกันในฐานะเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศ กับ นางเฮลลี่ ธอร์นนิ่ง ชมิดท์ นายกฯเดนมาร์ก วัย 45 ปี และนางจูเลีย กิลลาร์ด นายกฯออสเตรเลีย วัย 50 ปี 

"สิ่งที่แลกเปลี่ยนมุมมองคล้าย ๆ กัน คือความเป็นผู้นำหญิงอาจจะเจอเรื่องการคาดหวังค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นบทบาทผู้นำหญิงที่ต้องพิสูจน์ และเท่าที่ดูทั้ง 3 คนกำลังใจดี ยิ่งต้องให้พิสูจน์ยิ่งต้องทำให้คนเห็นว่าเราทำได้ ต้องทำด้วยความอดทน และผลงานเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ กับเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายมุมมอง 

ดิฉันได้พูดคุยกับผู้นำหญิง 2 ประเทศว่า วันนี้ประเทศไทยเรามีนโยบายสตรีที่ชัดเจน ได้แชร์มุมมองว่า ดิฉันเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศไทย อยากทำอะไรในส่วนผู้หญิงบ้าง แต่ไม่ใช่ทำแค่ผู้หญิงอย่างเดียว แต่ให้บทบาทผู้หญิงเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อาศัยกระบวนการความเข้าใจ สร้างให้ผู้หญิงเข้ามามีโอกาสเป็นผู้นำทางสังคม ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน เพื่อให้สุดท้ายแล้ว เป็นส่วนในการเสริมสร้างเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป" 

ทั้งนี้ปัญหาที่ผู้นำหญิงทั้ง 3 คนได้เผชิญคล้าย ๆ กันก็คือ เรื่องการแต่งกาย น.ส.ยิ่งลักษณ์เล่าว่า ผู้นำทั้ง 3 ประเทศเจอแบบเดียวกัน คือถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัว แต่เราก็มองแบบเดียวกันว่าเป็นธรรมชาติผู้หญิง ที่คนเราก็ต้องมีการรักสวยรักงามบ้าง ที่สำคัญต้องแต่งกายให้เหมาะสมถูกกาลเทศะ ถือว่าเป็นหน้าตาของประเทศด้วย 

"น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสในการพูดคุยเรื่องทิศทางการบริหารและผลงานของแต่ละคน แต่ทุกคนให้กำลังใจกันและกัน เพราะมีหัวอกเดียวกัน ต้องอดทน และพิสูจน์ผลงานเท่านั้น"

นายกฯยิ่งลักษณ์ยกตัวอย่างการเจรจากับผู้นำหญิงออสเตรเลีย ที่เริ่มผ่านบทพิสูจน์ไปแล้วขั้นหนึ่งจนสุดท้ายคนในพรรคให้การยอมรับ ส่วนนายกฯเดนมาร์กเพิ่งเป็นนายกฯได้ 6 เดือน แต่อันที่จริงเขาอยู่ในวงการการเมืองมาตั้งแต่อายุ 27 ปี

โอกาสที่ผู้นำหญิงทั้ง 3 คนจะได้มาเจอกันในเวทีโลกไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อได้พบกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเธอจะหันหน้าเข้าหากันแล้วปรับทุกข์ตามประสาสตรีบนเก้าอี้ผู้นำสูงสุดในการบริหารของประเทศ
"สิ่งที่แลกเปลี่ยนมุมมองคล้าย ๆ กัน คือความเป็นผู้นำหญิงอาจจะเจอเรื่องการคาดหวังค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นบทบาทผู้นำหญิงที่ต้องพิสูจน์ และเท่าที่ดูทั้ง 3 คนกำลังใจดี ยิ่งต้องให้พิสูจน์ยิ่งต้องทำให้คนเห็นว่าเราทำได้ ต้องทำด้วยความอดทน และผลงานเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ กับเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายมุมมอง 

"ดิฉันได้พูดคุยกับผู้นำหญิง 2 ประเทศว่า วันนี้ประเทศไทยเรามีนโยบายสตรีที่ชัดเจน ได้แชร์มุมมองว่า ดิฉันเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศไทย อยากทำอะไรในส่วนผู้หญิงบ้าง แต่ไม่ใช่ทำแค่ผู้หญิงอย่างเดียว แต่ให้บทบาทผู้หญิงเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อาศัยกระบวนการความเข้าใจ สร้างให้ผู้หญิงเข้ามามีโอกาสเป็นผู้นำทางสังคม ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน เพื่อให้สุดท้ายแล้ว เป็นส่วนในการเสริมสร้างเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป" 
ทั้งนี้ปัญหาที่ผู้นำหญิงทั้ง 3 คนได้เผชิญคล้าย ๆ กันก็คือ เรื่องการแต่งกาย น.ส.ยิ่งลักษณ์เล่าว่า ผู้นำทั้ง 3 ประเทศเจอแบบเดียวกัน คือถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัว แต่เราก็มองแบบเดียวกันว่าเป็นธรรมชาติผู้หญิง ที่คนเราก็ต้องมีการรักสวยรักงามบ้าง ที่สำคัญต้องแต่งกายให้เหมาะสมถูกกาลเทศะ ถือว่าเป็นหน้าตาของประเทศด้วย 

"น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสในการพูดคุยเรื่องทิศทางการบริหารและผลงานของแต่ละคน แต่ทุกคนให้กำลังใจกันและกัน เพราะมีหัวอกเดียวกัน ต้องอดทน และพิสูจน์ผลงานเท่านั้น"
นายกฯยิ่งลักษณ์ยกตัวอย่างการเจรจากับผู้นำหญิงออสเตรเลีย ที่เริ่มผ่านบทพิสูจน์ไปแล้วขั้นหนึ่งจนสุดท้ายคนในพรรคให้การยอมรับ ส่วนนายกฯเดนมาร์กเพิ่งเป็นนายกฯได้ 6 เดือน แต่อันที่จริงเขาอยู่ในวงการการเมืองมาตั้งแต่อายุ 27 ปี

โอกาสที่ผู้นำหญิงทั้ง 3 คนจะได้มาเจอกันในเวทีโลกไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อได้พบกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเธอจะหันหน้าเข้าหากันแล้วปรับทุกข์ตามประสาสตรีบนเก้าอี้ผู้นำสูงสุดในการบริหารของประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยความสุภาพ ขอบคุณคะ