วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สดุดี"สตีฟ จ๊อบส์ เขาจะถูกจดจำเหมือน"เอดิสัน"และ"ไอน์สไตน์"


การเสียชีวิตของสตีฟ จ๊อบส์ ผู้กุมบังเหียนแอปเปิ้ล สร้างความเสียใจและเสียดายจากเหล่าบุคคลที่ชื่นชมความสามารถระดับ "อัจฉริยะ" ของเขา ที่สามารถนำพาโลกให้ทันสมัยล้ำหน้าและก้าวสู่ความศิวิไลซ์อย่างเหนือล้ำ ด้วยผลิตผลของ "แอปเปิ้ล" รุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่กลายเป็นวัตกรรมสำคัญที่โลกต้องทึ่ง และเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบอย่างทรงอิทธิพลภายใต้ความสามารถสร้างสรรค์ของเจ้าพ่อแอปเปิ้ล ที่ไม่อาจปฎิเสธได้

 
ต่อไปนี้เป็นการแสดงทัศนะสดุดีไว้อาลัยของเหล่าบุคคลระดับโลกที่มีต่อสตีฟ จ๊อบส์ กูรูแห่งโลกไอที
บุคคลที่โลกต้องจารึกวงการไอทีโลก ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ที่คิดค้นสร้างสรรนวัตกรรมด้านไอที





บิล เกตส์ แห่งไมโครซอฟท์

ผมรู้สีกเศร้าใจอย่างแท้จริงที่รู้เรื่องการเสียของสตีฟ จ๊อบส์ เขาและผมเคยรู้จักกันเมื่อ 30 ปีก่อน เคยเป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน คู่แข่ง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งชีวิตของเรา

โลกแทบจะไม่ได้เห็นใครที่สร้างอิทธิพลอย่างลึกล้ำเหมือนอย่างที่สตีฟ จ๊อบส์ ทำ สิ่งที่เขาสร้างสรรค์จะสร้างผลกระทบที่จะรู้สึกได้ถึงชนรุ่นอนาคตอีกหลายรุ่น




"เจอร์รี่ หยาง"ผู้บริหารแห่งยาฮู

สตีฟถือเป็นฮีโร่ตอนที่ผมกำลังโต เขาไม่เพียงแต่ให้คำแนะนำส่วนตัวมากมาย และกำลังใจแก่ผม เขาแสดงให้เราทุกคนเห็นว่านวัตกรรมสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษยเราได้อย่างไร และผมจะรำลึกถึงเขา เช่นเดียวกับโลกนี้




มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง"เฟซบุ๊ค"


สตีฟ ขอขอบคุณที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้ช่วยเหลือ ขอบคุณที่คุณได้แสดงสิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนโลกได้ ผมจะคิดถึงคุณ





พอล อัลเลน แห่งไมโครซอฟท์

เราได้สูญเสียผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยีที่พิเศษยิ่ง และคนที่รู้วิธีการสร้างผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมอย่างน่าทึ่ง






แนนซี่ เปโลซี่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร์สหรัฐ

สตีฟ จ๊อบส์ เป็นบุรุษผู้เปี่ยมวิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนวิถีของโลกที่ใช้ชีวิตอยู่ เขาเป็นนักสร้างสรรค์ผู้ผลิตสินค้าที่มีผู้คนนับล้านซื้ออย่างมีความสุข และนักเสี่ยงผู้ไม่เคยเกรงกลัวที่จะท้าทายสถานภาพเดิมของโลก และเป็นผู้ประกอบการที่นำบริษัทที่สร้างสรรค์ที่สุดของโลกในยุคสมัยของเรา



ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีกรุงนิวยอร์ก
คืนนี้ อเมริกาต้องสูญเสียอัจฉริยะผู้จะถูกจดจำเหมือนเอดิสัน และไอน์สไตน์ และเป็นเจ้าของไอเดียที่ก่อร่างสร้างโลกเพื่อให้ชนรุ่นหน้า รวมทั้งตลอดช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา เขาได้มองเห็นอนาคตและได้นำสิ่งสร้างสรรค์มาให้ปรากฎก่อนที่คนส่วนใหญ่จะมองเห็นขอบฟ้า ความเชื่อมั่นที่ทะเยอทะยานของเขาในความเชื่อต่อเทคโนโลยีว่าจะเปลี่ยนโฉมของวิถีโลกที่เราอยู่ ได้ทำให้เราได้ทำอะไรมากกว่าแค่โทรศัพท์และไอแพด มันได้สร้างความรู้และอำนาจที่ก่อร่างสร้างโฉมหน้าของอารยธรรม


เอ็ดมุนด์ บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย
สตีฟ จ๊อบส์ เป็นนักสร้างสรรค์ชาวแคลิฟอร์เนียที่ยิ่งใหญ่ ผู้แสดงให้เห็นว่า จิตใจอันสร้างสรรค์และเป็นอิสระ สามารถบรรลุความสำเร็จได้ น้อยคนที่จะสร้างสร้างสิ่งงดงามและทรงอิทธิพลในชีวิตเรา

ขอบคุณเนื้อหาข่าว:  มติชนออนไลน์



ภาพการ์ตูนสรุปผลิตภัณฑ์ ในจากอุ้งมือ Steve Jobs


ขอบคุณ Steve Jobs(สตีฟ จ็อบส์) ที่มอบเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลกให้พวกเรา หลับให้เป็นสุขนะ นี้คงเป็นอีกความรู้สึกที่ตรงกับใจของใครหลายๆ คนที่ เดินตามและนำเอาแนวทางการปฎิบัติตัวของ Steve Jobs(สตีฟ จ็อบส์) มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต (มีใครหลายคนอาจจะเบื่อกับข่าวนี้ ขอครับสักครั้ง วันนี้ของให้เป็นวันของผู้ชายคนนี้ Steve Jobs)

ประวัติ สตีฟ จ๊อบส์
สตีเฟน พอล "สตีฟ" จ๊อบส์ (อังกฤษ: Steve Jobs, 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 - 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011) เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานกรรมการบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และยังเคยเป็นประธานกรรมการบริหารพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ใน ค.ศ. 2006 หลังดิสนีย์ซื้อกิจการพิกซาร์
สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)ร่วมก่อตั้งแอปเปิล คอมพิวเตอร์กับสตีฟ วอซเนียก ใน ค.ศ. 1976 เป็นผู้มีส่วนช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยม ขึ้นมา ด้วยเครื่อง Apple II ต่อมา สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)เป็น ผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์และ เม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอช หลังพ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจกับคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1984 สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)ลา ออกจากแอปเปิลและก่อตั้งเน็กซ์ บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและตลาดธุรกิจ การซื้อกิจการเน็กซ์ของแอปเปิลใน ค.ศ. 1996 ทำให้สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)กลับเข้าทำงานในบริษัทแอปเปิลที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นนั้น และสตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)รับหน้าที่ CEO ตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ถึง 2011 สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)ยัง เป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ 50.1% กระทั่งบริษัทวอลต์ดิสนีย์ซื้อกิจการไปใน ค.ศ. 2006 จ๊อบส์เป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุดของดิสนีย์ที่ 7% และเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของดิสนีย์ 
หลังจากที่ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนเป็นเวลาหลายปี สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันนี้ ขอพาย้อนกลับไปมองเทคโนโลยี ที่เค้าป็นคนปล่อยออกมาสู่โลก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
เครื่องคอมพิวเตอร์รวมไปถึงอุตสาหกรรมเพลง เราไปดูกันดีกว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โดนเปิดตัวโดย Steve Jobs(สตีฟ จ็อบส์) มีอะไรกันบ้างตั้งแต่ปี 1976-2011 มีอะไรกันบ้าง 



ขอขอบคุณข้อมูลจาก: วิกิพีเดีย



ถ้าหากคุณใช้ชีวิตแต่ละวัน ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

สตีฟ  จ๊อบส์  บุคคลที่โลกต้องจารึก

วงการไอทีโลก สูญเสียผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ที่คิดค้นสร้างสรร นวัติกรรมด้านไอที
ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ไปด้วยความอาลัยอย่างยิ่ง เพียงวันเดียว 

หลังจากที่ ทิม คุก ซีอีโอคนใหม่ของ แอปเปิ้ล เปิดตัว ไอโฟนรุ่นใหม่ คือ ไอโฟน 4GS





ต่อไปนี้คือคำกล่าวส่วนหนึ่งของผู้ชายที่ทั่วโลก กำลังกล่าวถึงเค้า ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำทางด้านไอทีตัวจริง ที่มีผู้คนทั่วโลกใช้ผลิตภัณฑ์ทีเกิดจากความพยายามศึกษา ค้นหา และผลิตจนเป็นแบรนด์ APPLE ของเค้าที่สามารถครองใจเป็นอันดับหนึ่ง ในเช้าวันนี้ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ชายหนุ่ม ผู้ก่อตั้งบริษัท และอดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เสียชีวิตแล้ว ในวัย 56 ปี หลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งมาหลายปี และเป็นการเสียชีวิตหลังจากที่แอ๊ปเปิ้ล พึ่งเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงวันเดียว



สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs)
หรือที่จริง อาการของเค้าอาจจะหนักมากแล้ว แต่มันเป็นช่วงของการเปิดตัว iPhone 4s ทำให้ทาง  แอ๊ปเปิ้ล ต้องปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน และหลังจากงานเปิดตัว ทาง แอ๊ปเปิ้ล  จึงออกมาแถลงข่าวการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ

วันนี้เลยนำประโยคดี ๆ ที่ สตีฟ จ็อบส์  ฝากไว้ก่อนเสียชีวิตมาฝากกัน

เมื่อผมอายุได้ 17 ปี ผมได้อ่านประโยคที่กล่าวไว้ว่า " ถ้าหากคุณใช้ชีวิตแต่ละวัน ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วละก็ มั่นใจได้เลยว่าวันหนึ่งมันจะเป็นจริงอย่างที่คุณคิด " มันประทับใจผมอย่างมาก และตั้งแต่นั่นมา เป็นเวลา 33 ปี ทุกเช้าผมต้องมองที่กระจกและถามตัวเองว่า “ ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของผม ผมจะยังคงต้องการที่จะทำสิ่งที่ผมจะทำในวันนี้หรือเปล่า “ และถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบคือ “ ไม่ “ หลายวันถัดมา ผมก็รู้ว่าผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว

จำไว้ว่า ประโยคที่ว่า “ ผมจะต้องตายในไม่ช้า “ นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่พบเคยพบมา ที่จะช่วยผมสร้างทางเลือกที่สำคัญยิ่งในชีวิต เพราะว่าเกือบทุกสิ่งตั้งแต่ ทุกความคาดหวังภายนอก ทุกความภาคภูมิใจ ทุกความกลัวต่ออุปสรรคหรือความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะมลายหายไปเมื่อคุณต้องเผชิญกับความตาย การจากไปเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญอย่างแท้จริง การจำไว้ว่าคุณต้องตายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้จัก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการติดในกับดักของความคิดที่ว่าคุณอาจต้องสูญเสียบาง สิ่งไป คุณนั้นเกิดมาตัวเปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ทำตามหัวใจของตัวเอง

เมื่อประมาณหนึ่ง ปีมาแล้ว ผมถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ผมต้องถูกสแกนตั้งแต่เช้าตอนเจ็ดโมงครึ่ง และผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้องอกในตับอ่อน ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกผมว่าค่อนข้างจะแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้ และคาดว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่เกิน 3-6 เดือน หมอประจำตัวผมแนะนำให้ผมกลับไปบ้านและทำสิ่งที่อยากทำ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณจากหมอว่าให้เตรียมตัวที่จะตายได้ มันหมายถึงให้คุณเอาสิ่งที่คุณคิดว่าจะบอกลูกคุณในสิบปีข้างหน้า มาบอกพวกเขาภายในเวลา 2 - 3 เดือน มันหมายถึงการที่จะแน่ใจได้ว่าทุกสิ่งได้ถูกจัดการให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้ให้ครอบครัวทำใจได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันหมายถึงว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องบอกลา

ผมต้องอยู่กับเจ้าโรคนั้นตลอดทั้งวัน เวลาผ่านไปจนถึงเย็นวันหนึ่งที่ผมต้องเข้ารับการตรวจ ซึ่งพวกเขาต้องสอดกล้องเอนโดสโคปลงไปในคอของผม ผ่านกระเพาะอาหารและลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ แล้วเอาเข็มทิ่มเข้าไปที่ตับอ่อน และตัดเอาเซลล์เล็กน้อยออกมาจากเนื้องอกก้อนนั้น ผมถูกปลอบให้ทำใจดีๆ แต่ภรรยาของผมซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย บอกว่าเมื่อพวกเขาเอาเซลล์ไปส่องด้วยกล้องไมโครสโคป แล้วอยู่ๆหมอก็เริ่มร้องไห้ เพราะว่าผลออกมากลายเป็น นี่เป็นโรคมะเร็งตับชนิดที่หายากมากๆ และสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด ผมต้องเข้ารับการผ่าตัด และตอนนี้ผมหายดีแล้ว

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ชิดที่สุดที่ผมต้อง เผชิญหน้ากับความตาย และผมหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นไปอีก 20-30ปี ด้วยการผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ ตอนนี้ผมจึงสามารถพูดกับคุณได้อย่างมั่นใจว่าความตายนั้นมีคุณค่า มากกว่าเมื่อตอนที่มันยังเป็นแค่ความคิด

ไม่มีใครที่ต้องการตาย แม้กระทั่งคนที่ต้องการไปสวรรค์ ก็ยังไม่ต้องการตายเพื่อไปที่นั่น และความตายคือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต้องแบ่งปัน ไม่มีใครหนีรอดไปได้ และมันยังคงเป็นอย่างที่ควร เพราะว่าความตายค่อนนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีทีสุดของชีวิต มันคือตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต มันกวาดล้างสิ่งเก่าๆออกไป เพื่อสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแทน ตอนนี้สิ่งใหม่นั้นก็คือคุณ แต่วันหนึ่ง ไม่นานนักจากวันนี้ คุณจะค่อยๆกลายเป็นคนแก่และถูกกวาดไปเช่นกัน ต้องขอโทษที่เล่าเหมือนเป็นละคร แต่นี่คือความจริง

เวลาของคุณมี จำกัด ฉะนั้น อย่าเสียเวลาเพื่อเติมเต็มชีวิตผู้อื่น อย่าติดกับดักของกฎเกณฑ์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับผลของความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของความคิดเห็นของคนอื่นมากลบเสียงภายในของคุณเอง และสำคัญที่สุด จงกล้าที่จะทำตามหัวใจและสัญชาติญาณของคุณ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันรู้ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นอย่างแท้จริง สิ่งที่เหลืออื่นจึงสำคัญรองลงมา

เมื่อผมยังเป็นเด็ก มีสิ่งตีพิมพ์ที่น่ามหัศจรรย์อันหนึ่งชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเป็นคัมภีร์ของคนรุ่นผม มันถูกสร้างสรรค์โดยคนกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แถวๆ Menlo Park และมันนำมาซี่งความมีชีวิตชีวา ด้วยสัมผัสแห่งบทกวี นี่คือในช่วงยุค 1960 ก่อนที่คอมพิวเตอร์ PC และ เครื่อง desktop จะมีออกจำหน่าย ดังนั้นมันจึงถูกเขียนขึ้นด้วยมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันเหมือนกับ Google ในรูปแบบกระดาษ 35 ปีก่อนที่ Google จะกำเนิดขึ้น มันเป็นเหมือนสิ่งอุดมคติ ที่ท่วมท้นออกมาโดยอาศัยเครื่องมืออันประณีต และความคิดอันเยี่ยมยอด

สจ๊วตและทีมของเขา ผลิตThe Whole Earth Catalog ออกมาหลายเล่ม และในขณะที่มันดำเนินไปตามเส้นทางที่วางไว้ พวกเขาก็เลิกทำ นั่นคือตอนกลางยุค 1970 และผมยังมีอายุพอๆกับพวกคุณ บนปกหลังของฉบับสุดท้าย เป็นภาพยามเช้าของถนนในถิ่นกันดาร แบบที่คุณสามารถพบตัวเองกำลังโบกรถอยู่ถ้าคุณเป็นคนประเภทชอบการผจญภัย ภายใต้ภาพนั้นมีคำพูดว่า “ จงเหมือนคนหิว(ความฝัน) จงเหมือนคนเขลา (เพ้อฝัน) “ มันคือข้อความอำลาจากพวกเขา จงเหมือนคนหิว จงเหมือนคนเขลา และผมมักภาวนาให้มันเกิดกับตัวเองเสมอ และวันนี้ เมื่อพวกคุณจบการศึกษาเพื่อที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจะภาวนาสิ่งนี้ให้พวกคุณ
" ไม่มีใครที่ต้องการตาย แม้กระทั่งคนที่ต้องการไปสวรรค์ ก็ยังไม่ต้องการตายเพื่อไปที่นั่น และความตายคือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต้องแบ่งปัน ไม่มีใครหนีรอดไปได้ และมันยังคงเป็นอย่างที่ควร เพราะว่าความตายค่อนนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีทีสุดของชีวิต มันคือตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต "
สุดท้าย ขอไว้อาลัยแก่ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) หนึ่งในผู้ที่เข้ามาปฏิวัติวงการ IT โลกให้มีอะไรที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ คิดไม่ถึง ขอบคุณสำหรับชื่อ ของ Apple และอุปกร์ไอที ที่คุณสร้างสรรมันขึ้นมา





ขอบคุณ: http://hitech.sanook.com

คำคม จาก Steve Jobs CEO คนเก่งที่จะอยู่ในใจเราตลอดไป


เมื่อวานช่วงค่ำๆ ฝนตกหนักมากๆที่กรุงเทพ ท่ามกลางบรรยากาศรถติด ชนิดที่ว่าไม่ขยับไปไหนเลย ก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่ในรถ พร้อมกับอ่านหนังสือ  Be Magazine ไล่อ่าน ไปเรื่อยๆตั้งแต่หน้าแรก จนไปสดุดกับบทความหนึ่งที่มีเรื่องราวของ Steve Jobs อดีต CEO คนเก่งของบริษัทแอปเปิ้ล ที่นำเสนอโดย คุณอารันดร์  อาชาพิลาส  โดยได้คัดลอกข้อความบทหนึ่งจากหนังสือ วิชาสุดท้าย ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน (เล่ม1) ซึ่งแปลโดย คุณ สฤณี อาชวานันทกุล
ทันทีที่อ่านบทความเรื่องนี้จบ ก็ตั้งคำถามกับตัวเองเล่นๆว่าหลายคนก็มีความคิดแตกต่างแต่ทำไมไม่ประสบความสำเร็จ? 
วันนี้ขอหยิบประโยคทองที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีความหมายดีๆซ่อนอยู่มาให้เพื่อนๆ  ได้อ่านแล้วลองคิดตามดู
1. อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ
2. ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่
3. อย่้าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์-นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจเราเอง
4. เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับงานที่ทำก็คือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม  และวิธีเดียวที่จะทำให้ได้งานออกมายอดเยี่ยม คือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ
5.  ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่
6. คิดอย่างแตกต่าง
7. "คิดต่าง" อย่า "มัวแต่ยืนอยู่ในแถวเหมือนพวกแกะ"
8. คุณอยากใช้ชีวิตที่เหลือขายน้ำหวาน หรืออยากมีโอกาศเปลี่ยนแปลงโลก?
9. คุณ ไม่สามารถเพียงถามลูกค้าว่าพวกเขาต้องการอะไร แล้วพยายามมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการให้พวกเขา เพราะกว่าคุณจะผลิตของสิ่งนั้นสำเร็จ พวกเขาก็อยากได้ของใหม่แล้ว
สุดท้ายขอแสดงความเสียใจและร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของ สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) ไว้ณ ทีนี้ด้วย


ที่มา: ampus.sanook.com