วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สมเด็จพระเทพฯ ผู้นำด้านการจัดการเทคโนโลยี Leadership in Technology Management Award (LTM Award)






ยกย่องเป็น ผู้นำด้านการจัดการเทคโนโลยี”สถาบันการจัดการเทคโนโลยีระดับนานาชาติทูลเกล้าฯถวายรางวัล “สมเด็จพระเทพฯ” เผยทรงนำเทคโนโลยีหลากหลายสาขามาประยุกต์-บูรณาการในการปฏิบัติพระราชกรณีกิจ เพื่อพัฒนาชนบท และผู้ด้อยโอกาสมาโดยตลอด ส่งผลทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลผู้นำการจัดการเทคโนโลยี หรือ Leadership in Technology Management Award (LTM Award) จาก ศูนย์นานาชาติพอตแลนด์ด้านการบริหารวิศวกรรมและเทคโนโลยี 

ในฐานะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ เทคโนโลยี และการบูรณาการเทคโนโลยีหลากหลายสาขา เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาชนบทและผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะในด้านการศึกษา อาหารและโภชนาการ การแพทย์ และสุขภาพมาโดยตลอด ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนและราษฎรในชนบทห่างไกล รวมทั้งผู้ด้อยโอกาส และผู้พิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว นับตั้งแต่มีการจัดมอบรางวัลเมื่อปี 2534 ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และการบริหารงานตามหลักการบริหารจัดการเทคโนโลยี 

รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่จัดขึ้นโดย (Portland International Conference on Management of Engineering and Technology) หรือPICMET ซึ่งเริ่มมีขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 โดยจะมอบเป็นเกียรติแก่บุคคลที่เป็นผู้นำในด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีตั้งแต่การสร้างวิสัยทัศน์ การจัดการกลยุทธ์และการกำหนดทิศทางตลอดจนขับดันเพื่อให้เกิดการนำไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ โดยรางวัลดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 หมวดคือ ผู้นำเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรม, ภาคการศึกษา และภาครัฐบาล จำนวนผู้ที่ได้รับรางวัลจนถึงปัจจุบันมีทั้งสิ้น 24 ราย



ขอบคุณ : http://www.nstda.or.th/pr/?p=268




"สมเด็จพระเทพฯ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเท่านั้น ท่านยังทรงเป็นสุดยอดผู้นำและทรงเป็นแบบอย่างอีกหลาย ๆ เรื่อง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านชีวิตความเป็นอยู่ พระองค์ทรงใช้ชีวิตด้วยความสมถะ เรียบง่าย ด้านการทรงงาน ท่านก็ทรงทำอย่างเต็มที่เต็มกำลังเพื่อประชาชน ไม่เคยเห็นท่านเหน็ดเหนื่อยหรือไม่เคยเห็นท่านที่จะหยุดซักวัน ท่านทรงทำงานมากกว่า 365 วันเสียอีก  ตลอดจนการดูแลทุกข์สุขของประชาชน ท่านก็ทรงไปทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่ถิ่นทุรกันดารท่านก็ต้องเข้าไปดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยพระองค์เองตลอด รวมถึงด้านศิลปะ เราก็เห็นท่านถ่ายรูปและเล่นดนตรีอยู่เสมอ ๆ และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนเห็นท่านทรงมอบให้กับประชาชนที่พระองค์รักตลอดมา นั่นคือ "รอยยิ้มแห่งความสุข" ความน่ารักของท่าน ที่มีให้กับประชาชนทุกคน" 

"สุดท้ายนี้ก็ขอหยิบภาพการเสด็จพระราชดำเนินของท่านในการออกไปทรงงานมาให้ชมกัน เป็นการเดินทางที่น่ารักที่สุดในโลกก็ว่าได้ คิดว่าคงไม่มีเจ้าหญิงพระองค์ใดในโลกที่จะทำได้อย่างนี้อีกแล้ว ไปชมกันคะ" 











ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
 ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า barbiegirlblogger.blogspot.com

จดหมาย จากพ่อ...ถึงลูก

๕ ธันวามหาราช วันพ่อแห่งชาติ "ทรงพระเจริญ"




 


จดหมายในหลวงถึงสมเด็จพระเทพฯ (จากพ่อ...ถึงลูก)

พระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาเผยแพร่ ในหนังสือสนองโอฐสภากาชาดไทย นิตยสารเพื่อสุขภาพ ของสภากาชาดไทย ฉบับที่ ๑๘๒ ประจำเดือน ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๒


"ลูกพ่อ"

ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่างหรือความดีนั้น

"ทางที่จักต้องไปให้ถึงก้อคือรักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่นสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้"

พ่อขอบอกลูกดังนี้

1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเถิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต

2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องเหมาะสม

3. มีความสันโดษ คือ มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก้อพอใจตามที่ได้น้อย ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนภายหลัง พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะตน

4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียรและเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฏธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า "ชั่งมัน"

พ่อ ๖/๑๐/๒๕๔๗

"ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็นและลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน"

ฉันรักพ่อฉันจัง
สิรินธร



ขอบคุณ : เนื้อหา http://atcloud.com/stories/71209, ภาพประกอบ google.com


"ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน"
 ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า http://barbiegirlblogger.blogspot.com



วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Top 10 Female Leaders

ไทมส์ จัดอันดับ 10 ผู้นำสุภาพสตรีแกร่ง
ที่สามารถทะลายกำแพงขึ้นไปจุดสูงสุดของวงการเมือง และกลายเป็นผู้นำหญิงของประเทศได้




1."แองเกลา แมร์เคิล" นายกรัฐมนตรีหญิงเยอรมนี
Angela Merkel, Chancellor of Germany
นางแมร์เคิล นักการเมืองหญิงที่อิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดในโลก ได้รับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากเยอรมนีตะวันออก ก่อนเบนเข็มมายังสายการเมือง เธอสามารถชิงตำแหน่งเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนี จากการเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อธ.ค.  1990 และในอีกหนึ่งปีถัดมา เธอได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี เฮลมุต โคห์ล ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ นางแองเกลา เคยผ่านการสมรสมาแล้ว 2 ครั้งและยังไม่มีบุตร เธอยังดำรงตำแหน่งประธานหญิงของพรรคสหภาพคริสเตียนเดโมแครต บ่อยครั้งที่เธอสงวนท่าทีไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นอะไร แต่เธอก็ได้ให้สัมภาษณ์ในปี 2010 กับไทมส์อย่างมั่นใจว่า"คุณสามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่า มันไม่ผิดที่ฉันคิดจะทะเยอทะยาน ฉันไม่เคยประเมินตัวเองต่ำเกินไป"





2."คริสตินา เฟอร์นันเดส เดอ คริชเนอ" ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา
Cristina Fernández de Kirchner, President of Argentina
เธอได้รับเลือกให้เป็นประธานธิบดีเมื่อพ.ย. 2007 (ซึ่งประสบความสำเร็จตามสามีของเธอ เนสโตร) เฟอร์นันเดส ในความเป็นผู้หญิงของเธอ เธอเห็นว่า การที่เหล่าสมาชิกทางการเมืองผู้ชายชั้นสูงบางคนจะเรียกเธอว่า "คริสตินนา" ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม  เฟอร์นันเดสพาตัวเองรอดพ้นจากการโดนล็อบบี้จากประเทศที่ทรงอำนาจทางการเกษตร เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกับกรณีการค้นพบเงินสดในกระเป๋าเดินทาง ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย และตกเป็นเป้าสายตาประชาชนกรณีการโต้เถียงเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ กับข้าราชการชั้นสูง ที่บานปลายจนถึงขั้นขับไล่ผู้ว่าการธนากลางของอาร์เจนติเมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา ด้วยภาพลักษณ์และวาทศิลป์ที่โดดเด่นของเธอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเปรียบให้เหมือนดัง เอวา เปรอง อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกของอาร์เจนตินา




3."ดิลมา รูสเซฟฟ์" ประธานาธิบดีบราซิล
Dilma Rousseff, President of Brazil
ฉันอยากให้ครอบครัวที่มีลูกสาวลองมองเข้าไปในตา และบอกกับพวกเธอว่า ผู้หญิงสามารถทำได้แน่นอน" ดิลมา รูสเซฟฟ์กล่าวหลังชนะการเลือกตั้งของบราซิล และเมื่อเธอได้กุมบังเหียนของ 4 ประชาธิปไตยขนาดใหญ่ของโลก เมื่อ 1 ม.ค.  รูสเซฟฟ์เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกที่มาจากอเมริกาใต้ และครองชัยชนะเหนือผู้นำหญิงของทุกที่ และจากการสละตำแหน่งของประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้ชักจูงเธอให้มารับตำแหน่งนี้ ในฐานะที่ลูลาเคยเป็นหัวหน้าของทีมงาน รูสเซฟฟ์ ได้ให้คำมั่นว่า จะสานต่อเจตนารมณ์จึงได้ครองความนิยมอย่างท่วมท้น “ฉันอยากจะกล่าวขอบคุณเป็นพิเศษแก่ประธานาธิบดีลูลา” เธอกล่าวในคืนวันเลือกตั้ง “ฉันจะสืบทอดนโยบายอันทรงเกรียติของเขา เราจะรวมตัวเป็นหนึ่งและทำให้งานของเขาเดินหน้าต่อไป”



4. "จูเลีย กิลลาร์ด" นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย

Julia Gillard, Prime Minister of Australia

หลังจากที่เธอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพรรคแรงงานขับไล่นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ ในวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา กิลลาร์ดในวัย 48 ปี ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศออสเตรเลีย มาตรการในการปรับปรุงประเทศของ กิลลารด์ ได้รับการสนับสนุนจากพรรคของเธอ กิลลารด์ จัดให้มีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็วภายใน 3 สัปดาห์ โดยหวังที่จะได้รับประโยชน์จากผลการแสดงความคิดเห็นของประชาชน  แต่ในวันที่ 21 ส.ค.การเลือกตั้งก็ไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่ชัดได้ เพราะว่ารัฐบาลฝั่งซ้ายของนางกิลลารด์ ไม่สามารถเอาชนะพรรคอนุรักษ์ ซึ่งนำโดยนายโทนี แอบบอตต์ ที่สามารถรักษาคะแนนเสียงส่วนใหญ่ไว้ได้ หลังจากการเจราต่อรองที่ยืดเยื้อของผู้สมัครอิสระมากกว่า 2 สัปดาห์ การคุมเชิงทางการเมืองก็ยุติลงใน 7 ก.ย. กิลลารด์ ได้ครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภา 76-74 ที่นั่ง และจัดตั้งรัฐบาลชนกลุ่มน้อย





5."เอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ" ประธานาธิบดีไลบีเรีย
Ellen Johnson Sirleaf, President of Liberia
สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินและฮาวาร์ด เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของแอฟริกา หลังจากดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเมื่อปี 1970  แต่เมื่อ ซามูเอล ดูอิ ทำการรัฐประธานยึดอำนาจในปี 1980 เป็นเหตุให้ประธานาธิบดีจอห์นสัน เซอร์ลีฟ และกรรมการคณะรัฐมนตรีหลายคนหลบหนีไปยังเคนยา ซึ่งเธอเคยเป็นผู้อำนวยการธนาคารซิตี้แบงค์ที่นั่น  และกลับมาลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 1996 แต่ก็ต้องพ่ายให้กับชาร์ลส์ เทย์เลอร์  แต่เมื่อปี 2005 จึงสามารถนั่งตำแหน่งประธานาธิบดีได้สำเร็จ เธอให้คำมั่นว่า จะใช้สันชาติญาณความเป็นแม่ และความรู้สึกในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในขณะที่ประเทศยังมีความต้องการที่สูงขึ้น และยังมีสงครามกลางเมือง



6."ชีค ฮาสินา วาเจด" นายกรัฐมนตรีบังคลาเทศ

Sheik Hasina Wajed, Prime Minister of Bangladesh

ฮาสินา ผู้นำหญิงวัย 62 ปี ของพรรคฝ่ายซ้ายสันนิบาติอาวามิ  มีประวัติรอดชีวิตจากการรัฐประหารในปี 1975 เมื่ออายุ 28 เธออยู่ต่างประเทศและได้รับรู้ข่าวตลอดเวลา ครอบครัวของเธอ ประกอบด้วยลูกชา พี่ชาย 3 คน มารดา บิดา และอดีตนายกรัฐมนตรีซี้ค มูจิบัน ราชมาน ถูกสังหารหมู่ในเหตุการณ์รุนแรงครั้งนั้น ฮาสินา ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี 1996 แต่เมื่อปี 2001 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ จัดให้ บังคลาเทศ ติดอันดับเป็นประเทศที่มีการติดสินบนมากที่สุดในโลก และ ฮาสินา ก็ถูกปลดโดยคะแนนเสียงส่วนมาก แต่นั่นไม่ใช่จุดจบสำหรับเธอถึงแม้ว่าในเดือนมกราคม 2009 พรรคสันนิบาตอวามี จะชนะ 230 จาก 299 ที่นั่งในสภา เพราะในที่สุดเธอก็ฟันฝ่าอุปสรรคจนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง



7."โจฮันนา ซิกูร์ดาร์ดอตตีร์" นายกรัฐมนตรีของไอซ์แลนด์
Johanna Sigurdardottir, Prime Minister of Iceland
หลังเศรษฐกิจของไอซ์แลนด์พังทลายลงเมื่อต.ค. 2008  ซิกูร์ดาร์ดอตตีร์ ต้องควบคุมคลื่นความไม่พอใจจากทุกทิศทาง ที่ถูกส่งไปยังคณะนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่กลุ่มนักการเมืองหน้าเดิม ที่ได้รับชัยชนะถึง 8 ครั้ง ตั้งแต่การได้รับเลือกตั้งเข้าสภาในปี 1978 เธอจึงเป็นสมาชิกของรัฐสภา ที่ได้รับใช้ประเทศมาอย่างยาวนาน และยังได้รับความนิยมมากที่สุดของประเทศ นอกเหนือจากบทบาทการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไอซ์แลนด์ ซิกูร์ดาร์ดอตตีร์ วัย 67 ปี ยังสารภาพด้วยว่า เธอคือผู้นำรักร่วมเพศคนแรกของโลก และเมื่อมิ.ย. 2010 ไอซ์แลนด์ผ่านกฎหมายรับรองการแต่งงานของเพศเดียวกัน


8. "ลอรา ชินชิลลา" ประธานาธิบดีคอสตาริกา
Laura Chinchilla, President of Costa Rica

หลังจากดำรงตำแหน่งรองประธานธิบดี ภายใต้การนำของผู้ได้รับรางวัลโนเบล นายออสการ์ อาเรียส ซันเชส  เมื่อก.พ.ที่ผ่านมา ชินชิลลาชนะการเลือกตั้งครองเสียงส่วนใหญ่ 47% ในประเทศที่มักมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรม กลุ่มพรรคฝ่ายซ้ายได้ชูจุดเด่นด้านการรักษาความปลอดภัยของเธอ ก่อนหน้านี้ เธอทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการรักษาความปลอดภัยของภาครัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของพรรคปลดปล่อยแห่งชาติ ด้วยความที่เธอเป็นคนอนุรักษ์นิยมทางสังคม เธอต่อต้านการแต่งงานของกลุ่มรักร่วมเพศ การทำแท้ง และจัดให้การใช้ยาคุมกำเนิดถูกกฎหมาย เธอดำเนินนโยบายการทำธุรกิจแบบมืออาชีพ ตามบรรพบุรุษของเธอ โดยการค้นหาการลงทุนระหว่างประเทศและขยายตลาดการค้าเสรี



9.ตารยา ฮาโลเนน ประธานาธิบดีฟินแลนด์
Tarja Halonen, President of Finland
โตมาในครอบครัวชนชั้นแรงงานชั้น ณ ใจกลางเมืองเฮลซิงกิ  ฮาโลเนน เริ่มเส้นอาชีพการเมืองอย่างประสบความสำเร็จ จากการสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพแรงงาน และองค์กรพัฒนาเอกชน เธอเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2000 มีบทบาทโดดเด่นในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทางทหาร และรณรงค์ฟินแลนด์ต่อต้านการเป็นสมาชิกของนาโต้ งานอดิเรกของเธอขัดกับตำแหน่งอันทรงพลัง เธอสนุกกับการว่ายน้ำ และดูแลแมวของเธอทั้ง 2 ตัว  เมื่อปี 2006 โคแนน โอ'ไบรอัน ้ดำเนินรายการโทรทัศน์และนักแสดงตลก ได้ออกมารับรองการเลือกตั้งของ ฮาโลเนน เนื่องจากเธอและเขามีความเข้มแข็งที่คล้ายกัน



10. "ดาเลีย ไกรบอสไคต์" ประธานาธิบดีลิทัวเนีย
Dalia Grybauskaite, President of Lithuania
หลังจาก ไกรบอสไคต์ รับอำนาจเมื่อปี 2009 นักข่าวชาวยุโรปต่างขนานนามเธออย่างรวดเร็วว่า เธอคือหญิงเหล็กแห่งลิทัวเนีย เนื่องจากเธอมีท่าทางการพูดที่เข้มแข้ง และเป็นคาราเต้สายดำ จากลูกสาวของพนักงานขายหญิงกับช่างไฟฟ้า  เธอทำงานนอกเวลาในโรงงานจนเรียนจบปริญญาเอกในทางเศรษฐศาสตร์   เมื่อปี 1999 เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก่อนเข้าร่วมคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อปี 2009 ขณะที่ ลิทัวเนีย ตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไกรบอสไคต์ มุ่งเน้นนโยบายช่วยเหลือรายได้น้อย และการแก้ปัญหาการว่างงาน ซึ่งมีสูงถึงเกือบ 16%  เธอจึงได้รับชัยชนะจากคะแนนเสียงข้างมากถึง 68% ซึ่งเป็นสถิติชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีลิทัวเนีย

ขอบคุณ : http://www.thairath.co.th

 "หวังว่าซักวัน ประเทศไทยคงจะมีโอกาสต้อนรับผู้นำคนใหม่ที่เป็นสุภาพสตรีซักครั้ง" เพราะเท่าที่เห็นผู้หญิงในยุคปัจจุบัน ทั้งเก่งและมีความสามารถในการบริหารจัดการองค์กรใหญ่ได้ดีไม่แพ้ผู้ชาย หรือ อาจจะใช้คำว่า "ดีกว่า" ก็ได้ เพียงแต่หากกล้าที่จะก้าวข้ามผ่านกรอบความคิดแบบเดิม ที่ว่า การบริหารประเทศนั้นตัองเป็นผูุ้ชายอย่างเดียว ออกมานอกกรอบให้ได้ และหยิบยื่นคำว่า "โอกาส" ให้กับเค้าเหล่านั้น ซักวันประเทศไทยก็น่าจะมีผู้นำที่เป็นผู้หญิงมาบริหารประเทศในรูปแบบใหม่ ๆ ให้เห็นกันแน่นอน "ประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกอยู่แล้ว"

โดย Barbiegirl  



คุณลักษณะผู้นำ 10 ประการ




 

ลักษณะผู้นำ 10 ประการ


หนังสือ Performance Without Compromise เขียนโดย Charles F. Knight ซึ่งถือเป็นผู้บริหารสูงสุดที่ประสบความสำเร็จที่ บริษัท Emerson Electric ได้ระบุถึงคุณลักษณะสำคัญของผู้นำที่ดีไว้ว่า ไม่มีวิธีการที่ดีที่สุดในการเป็นผู้นำ เนื่องจากผู้นำที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมีลักษณะหรือวิธีการเป็นผู้นำแตกต่างกันออกไป


บรรดาผู้นำต่างมีคุณลักษณะที่เหมือนๆ กัน 10 ประการที่พอจะบอกได้ว่า เป็นคุณสมบัติที่ผู้นำที่ดีควรจะมี


1.ความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จ (Committed to success) Knight ระบุไว้ว่า ผู้นำที่ดีต้องเริ่มต้นจากจุดนี้ คนเหล่านี้เมื่อมีความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จ 

ก็จะทุ่มเทพลังงานเข้าทำงานเต็มที่ อีกทั้งยังเกาะติดกับงานที่ทำจนประสบความสำเร็จ ไม่ทำแบบจับจดหรือเลิกทำง่ายๆ


2.การกำหนดลำดับความสำคัญที่เหมาะสม (Set proper priorities) ดูเหมือนว่าทุกคน จะให้ความสำคัญกับการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำ แต่เมื่อถึงคราวปฏิบัติแล้วหลายครั้ง ที่ผู้นำจะไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญได้ ปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องมีสามประการ ได้แก่


2.1 ความยากลำบากในการมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มีความสำคัญเพียงไม่กี่อย่าง รวมทั้งการต้องสื่อสาร และทำความเข้าใจในสิ่งที่สำคัญให้ทราบทั่วทั้งองค์กร  


2.2 ผู้นำอาจมุ่งเน้นสิ่งสำคัญผิดเรื่อง หรืออาจจะไม่มั่นใจว่าเรื่องใดควรจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว สาม ผู้นำมักจะมีปัญหาว่าเมื่อเลือกความสำคัญแล้ว จะเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เนื่องจากการกำหนดความสำคัญ จะทำให้มีเรื่องบางเรื่องที่ถูกลดบทบาทหรือความสำคัญลงจากการที่ผู้บริหารของ Emerson เห็นความสำคัญของการจัดลำดับความสำคัญ ทำให้บริษัทนี้ต้องมีการวางแผนกลยุทธ์อย่างละเอียด สำหรับทุกๆ หน่วยงานทุกปี เนื่องจาก Knight มองว่ากระบวนการวางแผนเป็นกระบวนการที่ช่วยในการถามคำถามว่าสิ่งใดมีความสำคัญ และช่วยทำให้ผู้บริหารได้เห็นในสิ่งที่สำคัญในสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเป็นประจำ


นอกจากนี้ ผู้บริหารจะต้องสามารถสื่อสารเรื่องที่มีความสำคัญให้กับผู้บริหารและพนักงานได้ทราบ และกระบวนการวางแผน ก็เป็นกระบวนการสำคัญ ที่ช่วยในการสื่อสาร และถ่ายทอดสิ่งที่มีความสำคัญ ให้ผู้บริหารระดับล่างได้รับทราบ


3.การตั้งและคาดหวังในมาตรฐานที่สูง (Set and demand high standards) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความซื่อสัตย์ ความเป็นเลิศในด้านต่างๆ และในด้านของผลการทำงาน ถ้าผู้นำไม่มีการตั้งมาตรฐานที่สูงและคอยดูแลการทำงาน เพื่อให้บรรลุมาตรฐานเหล่านี้อย่างใกล้ชิด ทั้งองค์กรก็ยากที่จะบรรลุ  มาตรฐาน


ผู้นำที่ดีจะต้องสร้างระดับความกดดันที่เหมาะสมในองค์กร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องก่อให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัว แต่เป็นความกดดันที่จะ  ผลักดันให้ทุกคนสามารถทำงานที่ท้าทายได้สำเร็จ


4.การเข้มงวดและยุติธรรม (Be tough but fair in dealing with people) โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับคน เนื่องจากคนมักโดยทั่วไป ต้องการที่จะถูกวัด ถูกประเมิน และพัฒนา


ดังนั้น สิ่งที่ผู้นำจะช่วยในส่วนนี้ได้ก็คือเข้มงวดแต่ยุติธรรม โดยคำว่าเข้มงวดในที่นี้คือความเข้มงวดต่อการบรรลุผลงานที่ตั้งไว้ ในขณะเดียวกัน ความยุติธรรมนั้นก็ครอบคลุมโอกาสที่พนักงานจะได้แสดงออกถึงความสามารถ ถึงแม้จะล้มเหลวแต่ก็ต้องเปิดโอกาสให้ผิดพลาด แต่ก็ไม่ควรที่จะผิดพลาดซ้ำ


5.การให้ความสำคัญกับโอกาสและสิ่งที่เป็นไปได้ (Concentrate on positives and possibilities) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดความสำคัญของสิ่งที่จะทำนั้นควรที่จะมุ่งเน้นในสิ่งที่ผู้นำสามารถก่อให้เกิดความแตกต่าง ไม่ใช่ไปมุ่งเน้นปัญหาที่ยากจะแก้ไข หรือไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้


6.พัฒนาและรักษาระดับเร่งด่วน (Develop and maintain a strong sense of urgency) เนื่องจากปัญหาต่างๆ ถ้าไม่รีบดำเนินการแก้ไขก็จะไม่ดีขึ้นจนกว่าจะได้รับการแก้ไข ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ความสำคัญต่อปัญหาในเรื่องของการดำเนินงานและเรื่องคนโดยเร็ว ผู้นำที่ดีจะมีทัศนคติเสมอว่าทำในบางสิ่งบางอย่างดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ถึงแม้จะไม่ถูกต้องในตอนแรกแต่ก็จะหาทางแก้ไขจนถูกต้อง ดีกว่าไม่เริ่มทำสิ่งใดเลย (แล้วเอาแต่พูด)


7.การให้ความใส่ใจในรายละเอียด (Pay attention to detail) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และไม่มีสิ่งใดที่จะทดแทนข้อมูลได้ ในการเอาใจใส่และให้ความสนใจต่อข้อมูลอย่างละเอียด จะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการตัดสินใจ


8.การยอมรับต่อความผิดพลาด (Provide for the possibility of failure) เนื่องจากไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ดังนั้น จึงจำต้องวางแผนทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันให้คนสร้างสรรค์และคิดในสิ่งใหม่ๆ ย่อมจะนำไปสู่โอกาสของความล้มเหลวได้ง่าย การยอมรับความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริหารทุกคน


9.การเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องสำคัญ (Be personally involved) ถ้าผู้บริหารได้ลงมาเกี่ยวข้องใกล้ชิด ย่อมจะทำให้โอกาสในการที่จะประสบความสำเร็จเป็นไปได้มาก อีกทั้งยังจะช่วยในเรื่องของการลดปัญหาการเมืองภายในองค์กรอีกด้วย เนื่องจากเมื่อผู้นำสูงสุดมาเกี่ยวข้องแล้ว ย่อมจะเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของงานและความมุ่งมั่นของผู้นำ


10.สนุกกับงาน (Have fun) เรื่องนี้ง่ายมากคะ ถ้าเราไม่รู้สึกสนุกกับงาน ก็จะส่งผลให้ลูกน้องไม่สนุกกับงานไปด้วย ความสนุกนั้นเกิดขึ้นได้จากการที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่ดีและมุ่งมั่นเช่นเดียวกัน รวมทั้งความสำคัญที่มีต่อเนื่อง 








คุณลักษณะผู้นำ  ๑๔  ประการ


๑.ลักษณะท่าทางหรือการวางตัว  (Bearing)

      คือ  การสร้างความประทับใจในเรื่องท่าทาง  การวางตัว  และความประพฤติให้อยู่ในระดับสูงสุดเป็นที่นิยมของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา มีความสุภาพนุ่มนวลหลีกเลี่ยงการพูดด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือเหยียดหยามผู้อื่น เป็นบุคคลที่มีความสง่าผ่าเผย ควบคุมตนเองได้ทั้งในการปฏิบัติตน และอารมณ์  แต่งกายสะอาดเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบแบบแผน


๒.ความกล้าหาญ  (Courage)

      คือ  การบังคับจิตใจตนเองให้อยู่ในความสงบ ไม่เกรงกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สะทกสะท้านหรืออ่อนไหว  กล้าทำ  กล้าพูด  กล้ายอมรับผิดหรือคำติเตียน  เมื่อมีความผิดพลาด  หรือบกพร่อง  ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกที่ควร  ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ผู้อื่นก็ตาม


๓.ความเด็ดขาด  (Decisiveness)

      คือ  ความสามารถในการตกลงใจโดยฉับพลัน  และประกาศข้อตกลงใจอย่างเอาจริง และชัดแจ้ง  โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่างๆ  รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองและบุคคลอื่นอย่างมีเหตุผลและมีความมั่นใจ  ในลักษณะที่รวดเร็ว  ไม่พูดอ้อมค้อม  ถูกต้อง  และทันเวลา


๔.ความไว้เนื้อเชื่อใจ  (Dependability)

      คือ   การได้รับความไว้วางใจในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ หรืองานที่มอบหมายได้ถูกต้องไม่ผิดพลาด  ด้วยความคล่องแคล่ว  ว่องไว  เฉลียวฉลาด  กระทำการอย่างเต็มความสามารถและพิถีพิถัน  เป็นคนตรงต่อเวลา   ไม่กล่าวคำแก้ตัว  มีความตั้งใจ และจริงใจ


๕.ความอดทน  (Endurance)

      คือ   พลังทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งวัดได้จากขีดความสามารถในการทนต่อความเจ็บปวด  ความเหน็ดเหนื่อย  เมื่อยล้า  ความยากลำบาก  ความเคร่งเครียด  งานหนัก  รวมถึงความอดกลั้นต่อสถานการณ์ที่บีบคั้น


๖.ความกระตือรือร้น  (Enthusiasm)

      คือ   การแสดงออก ซึ่งความสนใจอย่างจริงจัง และมีความจดจ่อต่อการปฏิบัติงานอย่างจริงจัง  หมายถึง  การทำงานด้วยความร่าเริงและคิดแต่แง่ดีเสมอ


๗.ความริเริ่ม     (Initiative)

      คือ   การเป็นผู้รู้จักใช้ความคิดในการเสาะแสวงหางานทำ และเริ่มหาหนทางปฏิบัติ ถึงแม้จะไม่มีคำสั่งให้ปฏิบัติ หรือการแสวงหาแนวทางในการปฏิบัติงานใหม่ ๆ ที่ดีมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม  และกระทำทันทีโดยไม่รีรอหรือชักช้า


๘.ความซื่อสัตย์สุจริต  (Integrity)

      คือ ความเที่ยงตรงแห่งอุปนิสัยและยึดมั่นอยู่ในหลักแห่งศีลธรรมอันดีงามเป็นคุณสมบัติของการรักความจริง  รักษาวาจาสัตย์ตลอดเวลา  คำพูดทุกคำต้องถูกต้องเป็นจริงทั้งเรื่องราชการและส่วนตัว  ยืนหยัดในเรื่องที่ถูกต้อง และสำนึกในหน้าที่การงานของตน


๙.ความพินิจพิเคราะห์  (Judgment)

      คือ  คุณสมบัติในการใคร่ครวญ  โดยใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยา  เพื่อให้ได้มูลความจริงและหนทางแก้ไขที่น่าจะเป็นไปได้นำมาใช้ในการตกลงใจได้ถูกต้อง


๑๐.ความยุติธรรม  (Justic)

      คือ   การไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร มีความเที่ยงตรง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีความเสมอต้นเสมอปลายในการบังคับบัญชา  การให้รางวัลและการลงโทษแก่ผู้ที่กระทำผิด  การไม่มีอคติต่อเชื้อชาติ  ศาสนา  บุคคล หรือกลุ่มบุคคล  มีความเที่ยงธรรมคงเส้นคงวาโดยไม่เห็นแกหน้าใคร


๑๑.ความรอบรู้     (Knowledge)

      คือ   ข่าวสารที่บุคคลหามาได้รวมทั้งความรู้ในวิชาชีพของตน  และความเข้าอกเข้าใจในตัวผู้ใต้บังคับบัญชา  นอกจากความรู้ในวิชาชีพ  ควรทราบเหตุการณ์ภายใน และภายนอกประเทศ


๑๒.ความจงรักภักดี  (Loyalty)

      คือ   คุณสมบัติของบุคคลที่มีจิตใจเชื่อมั่น และยึดมั่นต่อประเทศชาติ      ศาสน์     กษัตริย์

ต่อกองทัพ  ต่อหน่วย  ต่อผู้บังคับบัญชา  ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา  และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ  ยืนหยัดต่อสู้เพื่อผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อเห็นว่าถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม รวมถึงการไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชาของตนต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา


๑๓.ความรู้จักกาลเทศะ  (Tact)

      คือ   ความสามารถในการปฏิบัติตนกับบุคคลอื่นโดยไม่เกิดความขุ่นข้องหมองใจ ไม่ก่อ ให้เกิดศัตรูหรือเป็นปฎิปักษ์ต่อกันในทัศนะของบุคคลทั่วไป  กาลเทศะ ยังหมายถึง ความสามารถที่จะพูด หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ถูกต้อง  เหมาะสมแก่กาลเวลาและสถานที่  ความสุภาพอ่อนโยนถือเป็นส่วนหนึ่งของกาลเทศะด้วย


๑๔.ความไม่เห็นแก่ตัว  (Settlessness)

      คือ   การไม่ฉวยโอกาสตักตวงความสุข  ความสะดวกสบาย  ความเจริญก้าวหน้าให้กับตนเอง  โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเสียผลประโยชน์  หมายถึงการร่วมเป็นร่วมตายกับเพื่อนร่วมงาน การแบ่งปันสิ่งของเครื่องใช้ให้กับผู้ขาดแคลน  ยกย่องผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อปฏิบัติงานดีเด่น  หรือให้ความช่วยเหลือตามสมควร






ขอบคุณ : research.crma.ac.th/2549/index.php/ภาพ:ลักษณะผู้นำ_๑๔_ประการ.doc - 13k -

              : dek-d.com