วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หัวหน้า..ต้องดี..เก่ง..กล้า ?




การทำงานในปัจจุบัน คำบ่นมากที่สุดของพนักงาน กลับไม่ได้เป็นเรื่องของงานหนัก งานยาก มากเท่ากับมีปัญหากับ "คน" ในที่ทำงาน และน่าประหลาดใจเมื่อพบว่า ผู้สร้างปัญหาและก่อความเครียดตัวฉกาจให้กับพนักงาน กลับกลายเป็นเจ้านายหรือหัวหน้างาน มากกว่าผู้ร่วมงานด้วยกันเอง 
ศาสตราจารย์เวย์น ฮ็อกวอร์เตอร์ จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา เปิดเผยการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้างานกับผู้ใต้บังคับบัญชา พบความสัมพันธ์ที่เป็น "พิษ" ระหว่างกันอย่างน่าตกใจ

..กว่าร้อยละ 40 ของพนักงานระดับกลาง 400 คน บอกว่า จะทำเป็นไม่รู้จักหรือหลบหลีกเจ้านายถ้าได้พบกันโดยบังเอิญบนถนน 
...ร้อยละ 32 บอกว่า ทำงานกับเจ้านายที่อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย 
...และเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 29 บอกว่า เจ้านายพร้อมหักหลังเพื่อรักษาเก้าอี้ของตัวเอง

นอกจากนี้ผลการสำรวจยังระบุว่า พนักงานที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้เป็นเวลานานจะมีความเครียดทั้งที่บ้านและที่ทำงาน มีปัญหาในการนอนหลับ เกิดความเจ็บป่วย เห็นคุณค่าของตัวเองน้อยลง ขาดความทุ่มเทและความเต็มใจในการทำงานเพื่อองค์กร แต่ที่ต้องทนทำงานต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า การจ้างงานที่ลดลง ทำให้การย้ายงานใหม่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
ไม่เพียงการสำรวจครั้งนี้ที่ได้ผลออกมาเช่นนี้ ศาสตราจารย์เวย์น ฮ็อกวอร์เตอร์ กล่าวว่า เขาเคยศึกษาพฤติกรรมของผู้จัดการและพบว่า ร้อยละ 39 ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้กับลูกน้อง ร้อยละ 41 ถูกมองว่าเป็นเจ้านายขี้เกียจ ชอบโยนงานให้ลูกน้อง และร้อยละ 31 บอกว่า เจ้านายคุยโวความสำเร็จของตัวเองเกินความจริง
แม้ว่าการสำรวจนี้จะเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราเห็นบทเรียนที่ดีของการเลือกคนที่จะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขึ้นไป ตั้งแต่ระดับเล็กถึงผู้นำระดับสูง หากไม่ต้องการ "ผู้ก่อมลภาวะ" ทำร้ายผู้อื่น จำเป็นต้องมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ความดี ความเก่ง และความกล้า องค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยให้ทั้งองค์กรเจริญก้าวหน้า และทำให้ทุกคนที่ร่วมงานอยู่ด้วยมีความสุขและเต็มใจทุ่มเทให้องค์กร
ความดี ความดีควรเป็นองค์ประกอบแรกของการคัดเลือกคนในการเข้าทำงานในตำแหน่งใด ๆ ก็ตาม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สังคมกลับละเลยและคัดเลือกเพียง "ความเก่ง" เท่านั้น ดังนั้น เมื่อคนเก่งแต่ไม่ดี เช่น เห็นแก่ตัว ใช้อำนาจไม่เหมาะสม ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ ฯลฯ เข้ามาทำงาน ย่อมสร้างปัญหาให้เกิดขึ้น ดังผลการสำรวจข้างต้น
เราจึงต้องตระหนักว่า คุณสมบัติประการแรกของหัวหน้างาน จึงจำเป็นต้องเป็น "คนดี" โดยมีลักษณะนิสัยพื้นฐาน ได้แก่ เห็นคุณค่าคน เคารพและให้เกียรติคน รักความยุติธรรม มีมนุษยสัมพันธ์ มีคุณธรรมเป็นหลักในการตัดสินใจ มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ มีความถ่อมใจ ไม่ใช้อำนาจโดยมิชอบ เป็นต้น

ความเก่ง นับเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญ หัวหน้างานจำเป็นต้องมีความรู้ ความชำนาญ และความเข้าใจเป็นอย่างดีในงานที่ทำ มีความสามารถในการประสานงานกับฝ่ายอื่น ๆ ทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร รวมทั้งมีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เป้าหมายของงานประสบความสำเร็จ อาทิ ความสามารถในการทำงานเป็นทีม การริเริ่มสร้างสรรค์ การวางแผนยุทธศาสตร์และการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้เหตุผล ที่สำคัญ หัวหน้างานจำเป็นต้องเป็นคนที่รักการเรียนรู้และเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งนี้ เพราะความเก่งจะต่อเนื่องจำเป็นต้องเพิ่มพูนความรู้อย่างต่อเนื่อง

ความกล้า ในฐานะผู้นำทีมจำเป็นต้องมีความกล้าเพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่คนอื่น ๆ ในทีม อาทิ หัวหน้างานต้องกล้าที่จะเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ ๆ กล้าแก้ปัญหาที่ยากลำบาก กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ กล้าตัดสินใจ กล้าที่จะรับผิดชอบแทนทีมงานทั้งหมด ความกล้าจะทำให้หัวหน้างานเป็นผู้ที่มีพลังในการสร้างแรงบันดาลใจให้ทั้งทีมกล้าที่จะแก้ปัญหาหรือฝ่าฟันวิกฤตที่เกิดขึ้นร่วมกัน
ความกล้าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น หากหัวหน้าไม่มีความกล้า เช่น ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าคิดริเริ่ม ชอบเป็นเพียงผู้รับคำสั่ง ไม่กล้ารับผิดชอบ คุณสมบัติเช่นนี้ย่อมทำให้หัวหน้างานขาดความน่าเชื่อถือ ถูกมองว่าอ่อนแอ ที่สำคัญ อาจไม่สามารถพาทีมงานบรรลุเป้าหมายของงานได้
ความดี ความเก่ง ความกล้า เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็น "ผู้นำ" ไม่ว่าระดับใดก็ตาม หากขาดองค์ประกอบใดไป ย่อมสามารถกลายเป็นหัวหน้างานที่สร้าง "สารพิษ" สะสมในชีวิตผู้ร่วมงานและทำลายองค์กรได้ในที่สุด

ขอบคุณ : http://men.sanook.com

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"โอบามา-รอมนีย์"เฉือนคารม"โต้วาที"ดุเดือด

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครต  และนายมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน ขึ้นแท่นปราศรัยในเช้าวันนี้ตามเวลาในไทยและจับมือทักทายก่อนโต้วาทีประชันวิสัยทัศน์กันนัดแรกจากทั้งหมด 3 นัดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ



ทั้งสองได้ปะทะฝีปากกันอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะด้านนโยบายและแผนเศรษฐกิจ  โดยตลอด 90 นาที ทั้งนายโอบามาและนายรอมนีย์ต่างกล่าวแสดงจุดยืนต่อแผนด้านภาษี การปฏิรูประบบสาธารณสุข และบทบาทของรัฐบาล

ผู้สมัครทั้งสองเชือดเฉือนคารมกันเป็นเวลา 90 นาทีบนเวทีมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 6 พฤศจิกายนนี้โดยอาจทำให้นายโอบามาได้เสียงสนับสนุนนำโด่งขึ้นไปอีก หรือนายรอมนีย์จะได้คะแนนตีตื้นขึ้นมา 

ผู้สมัครทั้งสองใช้เวลาแนะนำตัวเองช่วงสั้น ๆ เป็นเวลา 2 นาที โดยนายโอบามา ถือโอกาสแสดงความยินดีกับนางมิเชล ภริยา ในโอกาสครบรอบแต่งงาน 20 ปีในวันเดียวกับวันโต้วาทีครั้งนี้  ส่วนนายรอมนีย์ ก็พยายามผลักดันนโยบายการสร้างงานด้วยแผนการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก   นายจิม เลห์เรอร์ พิธีกรรุ่นใหญ่ของพีบีเอสนิวส์อาวร์เป็นผู้ดำเนินรายการโดยแบ่งเป็นช่วง ๆ ละ 15 นาที เพื่อประชันวิสัยทัศน์กันด้านนโยบายในประเทศและเศรษฐกิจ

โดยรอมนีย์ พยายามโจมตีเข้าที่จุดอ่อนของโอบามา ซึ่งก็คือ เรื่องนโยบายเศรษฐกิจ ที่รอมนีย์บอกว่า ทำให้คนอเมริกันชนชั้นกลาง ต้องตกระกำลำบาก รายได้หดหาย ผู้คนตกงาน พร้อมกับให้คำมั่นว่า ถ้าได้เป็นผู้นำสหรัฐ เขาจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้ประชาชนกลับมามีงานทำ ขณะที่โอบามาโต้กลับเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของรอมนีย์ว่าเอื้อคนรวย

นายรอมนีย์ กล่าวโต้นายโอบามาว่า เขามีมุมมองที่ไม่แตกต่างจากเมื่อสี่ปีก่อนสมัยที่รับตำแหน่งใหม่ๆ ทั้งการใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองขึ้น เก็บภาษีมากขึ้น มีกฎระเบียบมากขึ้น เพราะถ้าหากเขาจะทำอีก อาจเรียกรัฐบาลชุดนี้ได้ว่ารัฐบาลรั่วซึม ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่ดีสำหรับอเมริกา นายรอมนีย์ยังให้คำมั่นที่จะไม่ลดภาษีสำหรับชาวอเมริกันที่มีฐานะดี และกล่าวว่านายโอบามานำเสนอแผนด้านภาษีแบบผิดๆในระหว่างการเดินทางออกหาเสียง

นอกจากนั้น นายรอมนีย์ยังโจมตีนายโอบามาที่ไม่ลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือครึ่งหนึ่งตามที่เคยสัญญาไว้เมื่อปี 2008 และยืนยันว่า สหรัฐฯจะต้องไม่ยอมตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับกรีซและสเปน เขากล่าวว่า เพื่อเป็นการลดการขาดดุลงบประมาณ เขาจะยกเลิกกฎหมายด้านสาธารณสุขของนายโอบามาเมื่อปี 2010 และลดเงินอุดหนุนแก่สถานีโทรทัศน์สาธารณะ และรายการที่ไม่มีประโยชน์


ด้านนายโอบามา กล่าวโต้การโจมตีของนายรอมนีย์ที่อ้างถึงการลดการขาดดุลว่าไม่มีความสมดุล และว่านโยบายของนายรอมนีย์จะนำไปสู่เศรษฐกิจถดถอย ที่เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีของรีพับลีกัน และรอมนีย์จะทำให้นโยบายในยุคบุชหวนกลับมาอีก และนำไปสู่วิกฤติการเงินและเกื้อหนุนคนรวย ทำร้ายคนจนและชนชั้นกลาง ขณะที่ทั้งนายโอบามา และนายเลห์เรอร์ ดูเหมือนจะกดดันรอมนีย์ เกี่ยวกับเรื่องที่หลุดความเห็นเกี่ยวกับคนอเมริกัน ในเทปลับอื้อฉาว ที่เขาบอกว่า คนอเมริกัน 47 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าพวกเขาเป็นผู้เคราะห์ร้าย ที่ต้องพึ่งพารัฐบาลและไม่ยอมรับผิดชอบชีวิตตนเอง

ผลสุ่มสำรวจความคิดเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐของวอลสตรีทเจอร์นัล/เอ็นบีซี นิวส์ ปรากฏว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา มีคะแนนนำ นายมิตต์ รอมนีย์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันราวร้อยละ 49-46 โดยเฉลี่ยพบว่ามีคะแนนนำอยู่ราว 3.5 จุดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

โพลเนชันแนล พับลิกเรดิโอ ระบุว่า ประธานาธิบดีโอบามา มีคะแนนนำที่ร้อยละ 51-44 ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ และอยู่ที่ร้อยละ 50-44 ในกลุ่มรัฐซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการช่วงชิงคะแนนเสียงกันอย่างหนัก (แบทเทิลกราวด์สเตท)  ขณะที่โพลของวอชิงตันโพสต์-เอบีซีนิวส์ให้นายโอบามา เหนือกว่าด้วยร้อยละ 52-41 ในกลุ่มรัฐที่ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคใดพรรคหนึ่งหรือที่เรียกว่าสวิงสเตท

โดยเมื่อการโต้วิสัยทัศน์นาน 90 นาทีสิ้นสุดลง ผลโพลระบุว่า รอมนีย์ ยังคงมีคะแนนตามหลังโอบามา คาดกันว่าการดีเบตครั้งนี้ มีผู้ชมทั่วสหรัฐมากถึง 60 ล้านคน




ขอบคุณ: www.matichon.co.th