วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

กว่าจะมาเป็น"บอดี้การ์ดหญิงจีน""พวกเรา"ต้องผ่านผจญการฝึกสุดเข้มเยี่ยงชาย


ในโลกปัจจุบันนี้ อาชีพหนึ่งที่กำลังฮิตอย่างเงียบๆ  ก็คือ"บอดี้การ์ดหญิง"ซึ่งเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เพราะว่ากันว่า สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการคุ้มครองบุคคลระดับวีไอพีหญิง จากการถูกโจมตีหรือทำร้ายจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่มุ่งเป้าโจมตี พวกเธอคล่องแคล่วว่องไว และสามารถใช้ความเป็นสตรีเพศที่คล่องตัวคุ้มกัน"นายจ้าง"ได้อย่างดี

ทว่าเส้นทางของการเป็นบอดี้การ์ดหญิงหาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องผ่านบททดสอบที่เข้มข้น เหมือน ๆ กับการเป็นบอดี้การ์ดชาย

หนึ่งในดินแดนที่มีการฝึกบอดี้การ์ดหญิงอย่างเข้มข้น ก็คือ จีน ประเทศที่อาชีพนี้กำลังกลายเป็นฮิตนิยมสำหรับบุคคลวีไอพีเหมือนในหลายประเทศ ๆ  และดึงดูดผู้หญิงจำนวนไม่น้อยหันเหชีวิตเข้าสู่เส้นทางการเป็นบอดี้การ์ด อาชีพใหม่ที่ได้รับการอ้าแขนต้อนรับจากเจ้านายแห่งแดนมังกร

เมื่อเร็วๆ  นี้ สื่อต่างประเทศได้เปิดเผยภาพจีนฝึกบอดี้การ์ดหญิง ในปฎิบัติการฝึกซ้อมที่เมืองซานย่า ในมณฑลเหอเป่ย โดยมีผู้ฝึกชายทำหน้าที่ฝึกว่าที่บอดี้การ์ดหญิงใหม่อย่างเข้มข้น ผู้หญิงส่วนใหญ่กว่า 20 ชีวิตที่ส่วนใหญ่จบจากมหาวิทยาลัย ที่เบนเข็มมาเป็นบอดี้การ์ด รับการฝึกหนักที่สุดในชีวิต ในหลักสูตรฝึกเข้ม 4 สัปดาห์ ดำเนินการโดยหน่วยงานฝึกการ์ดพิเศษ

ผู้หญิงเหล่านี้ต้องผ่านคอร์สฝึกเข้ม ที่มีการถูกถีบ บังคับให้แบกซุงหนัก ย่ำร่างเพื่อน นอกจากนี้ พวกเธอยังต้องผ่านการฝึกการสร้างทักษะในการสอดส่องและระวังภัยจากคนร้าย ฝึกคอร์สต่อสู้การก่อการร้าย ศิลปะป้องกันตัว รวมทั้ง"มารยาททางธุรกิจ"ด้วย



ว่ากันว่า"อาชีพบอดี้การ์ดจีน" มีสิ่งล่อใจด้วยด้วยรายได้ค่าจ้างอย่างงามจากบรรดานักธุรกิจที่ร่ำรวย โดยบอดี้การ์ดหญิงจะสามารถ"ซ่อนโฉม"ตัวเอง ด้วยการปลอมตัวเป็นเลขานุการ พี่เลี้ยงเด็ก และวินาทีนี้ บอดี้การ์ดหญิงยังเป็นที่นิยมว่าจ้างมากกว่าบอดี้การ์ดชายเสียอีก พวกเธอจะได้รับค่าจ้างเฉลี่ย 100 ดอลลาร์ต่อวัน(  3,000 บาทต่อวัน)

ขณะที่อัตราการว่าจ้างบอดี้การ์ดจีนโดยเฉพาะในอดีตที่ผ่านมา จะตกเฉลี่ยปีหนึ่ง 1,500 ดอลลาร์ (45,000 บาท)

ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้"บอดี้การ์ดหญิงจีน"เป็นที่ฮิตใช้บริการกันมาก นั่นเพราะการเติบโตของนักธุรกิจหญิงที่เพิ่มสูงขึ้น คนเหล่านี้ต้องการใช้บอดี้การ์ดหญิง เพราะสามารถลบปัญหาเรื่องข้อครหาเรื่องชู้สาวระหว่าง"นายจ้าง"และบอดี้การ์ดชาย"ได้

นี่เป็นอาชีพใหม่ ที่กำลัง"มาแรง"อย่างเงียบ ๆ ในสังคมจีน

ขอบคุณ : http://www.matichon.co.th/news วันที่ 10 มกราคม 2555

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

สุภาพสตรีกับบทบาทของผู้นำสูงสุด




ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือธุรกิจเราจะเห็นผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหมายเลข 1 กันมากขึ้นทุกขณะ ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ม.ค.ปีใหม่นี้ ก็ได้สุภาพสตรีอีกท่านหนึ่งก้าวขึ้นไปเป็น CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ คือ Virginia Rometty นับเป็นซีอีโอหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์อันเกรียงไกรของยักษ์สีฟ้า IBM 
       
นอกจาก Rometty แล้ว เรายังมีซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่อีกจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Irene Rosenfeld ซีอีโอของ Kraft Fodds หรือ Indra Nooyi ซีอีโอของ PepsiCo. หรือ Ellen Kullman ซีอีโอของ DuPont หรือ Andrea Jung ซีอีโอของ Avon หรือ Ursula Burns ซีอีโอจาก Xerox หรือ Meg Whitman ซีอีโอของ Hewlett-Packard เป็นต้น
       
โดยส่วนตัวตั้งแต่ทำงานมาไม่ว่าจะเป็นในภาคเอกชน หรือภาคการศึกษาก็ล้วนแล้วแต่ผ่านภาวะของการมีเจ้านายระดับสูงถึงสูงสุดเป็นสุภาพสตรีมาแล้ว ทำให้พบว่าสุภาพสตรีที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับสูงได้นั้นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีนอกเหนือจากความเก่งหรือความสามารถที่เหนือกว่าผู้อื่นแล้ว สิ่งสำคัญก็คือจะต้องมีความมั่นใจสูงด้วย เนื่องจากในสังคมการทำงานที่เราคุ้นเคยกันมาแต่โบราณนั้น เรายังติดภาพของการที่ผู้ชายทำงานและผู้หญิงดูแลบ้าน แต่พอสังคมเปลี่ยนไป ผุู้หญิงมาทำงานมากขึ้น การที่ผู้หญิงจะก้าวล้ำผู้ชายขึ้นไปเป็นผู้นำระดับสูงได้นั้น ความมั่นใจในตนเองถือเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง
       
ได้มีโอกาสอ่านงานวิจัยชิ้นหนึ่งใน HBR Blog เขียนโดย Leslie Pratch ไว้ในหัวข้อว่า Why Women Leaders Need Self-Confidence ซึ่งพอสรุปคร่าวๆ ได้ว่าผู้นำที่เป็นสุภาพสตรีนั้นจะต้องเผชิญความท้าทายและความยากลำบากในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำมากกว่าผู้นำที่เป็นผู้ชาย นอกจากนั้นที่สำคัญคือมีการพบความสัมพันธ์ในทางสถิติระหว่างความมั่นใจของผู้นำกับความสำเร็จในการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้นำที่เป็นสุภาพสตรีนั้น จะมีความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทั้งสองประการมากกว่าผู้นำที่เป็นผู้ชาย
       
ในอีกนัยหนึ่งยิ่งผู้นำหญิงมีความมั่นใจมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำยิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ต้องไม่ถือว่าน่าแปลกใจนะครับ เพราะสุภาพสตรีที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ด้วยความสามารถของตนเองนั้น นอกเหนือจากความรู้ ความสามารถแล้ว ความมั่นใจในตนเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญ
       
อย่างไรก็ดี งานวิจัยอีกชี้นหนึ่งที่พบว่าผู้หญิงที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับสูงขององค์กร และต้องการที่จะสร้างความสมดุลกับชีวิตครอบครัวในลักษณะของ Super Mom นั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก และถ้าผู้บริหารเหล่านี้พยายามทำตัวเป็น Super Mom (เน้นทั้งความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและการดูแลครอบครัว) ก็จะยิ่งทำให้สุภาพสตรีดังกล่าวมีอาการเครียด หดหู่ หรือที่เรียกว่า Depressed มากขึ้น
       
ท่านผู้อ่านลองนึกภาพดู ว่าสุภาพสตรีที่หวังจะเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน จะต้องทำงานหนักและพิสูจน์ตนเองให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน แต่ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องแบ่งเวลามาดูแลครอบครัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีลูกในวัยเด็กหรือเริ่มเรียน ที่จะต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างสถานที่ทำงานกับโรงเรียนของลูก ซึ่งในอดีตนั้นอาจจะสามารถทำได้ แต่จากความกดดันต่างๆ ในสถานที่ทำงานในปัจจุบัน ทำให้ผู้หญิงที่ต้องการสร้างความสมดุลระหว่างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและการดูแลครอบครัวนั้นตกอยู่ในความเครียดมากกว่าผู้หญิงอื่น
       
สรุปก็คือในปัจจุบันเราจะมีผู้หญิงขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของบริษัทชั้นนำต่างๆ มากขึ้น โดยความสำเร็จของผู้หญิงกับการเป็นผู้นำนั้นขึ้นอยู่กับความมั่นใจของสุภาพสตรีท่านนั้นเอง อย่างไรก็ดีข้อควรระวังก็คือผู้หญิงที่ต้องการความก้าวหน้าในที่ทำงานกับการดูแลครอบครัวนั้นจะตกอยู่ในภาวะที่ชวนเครียดมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ตกอยู่ในภาวะเดียวกัน

ขอบคุณ : Manager.co.th

ผู้นำที่ดี จะยอมรับสิ่งที่ทำไม่ได้



เราเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าสถานการณ์สร้างผู้นำกันมาพอสมควร และอีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะเสริมเข้าไปก็คือ “สถานการณ์” โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเช่นในปัจจุบัน ยังสามารถแยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้นำที่ดีกับผู้นำธรรมดาๆ ได้อีกด้วย

ท่านผู้อ่านสังเกตไหมคะว่า ว่าผู้นำธรรมดาทั่วๆ ไปนั้น เมื่อทำการตัดสินใจในเรื่องใดไปแล้ว ถึงแม้ในช่วงหลังจะเริ่มพบว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้นผิดพลาด หรือไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด ก็ยากที่จะยอมรับและทำการเปลี่ยนการตัดสินใจ ผู้นำธรรมดาๆ ยังคงยึดมั่น ถือมั่นต่อสิ่งที่ได้เคยตัดสินใจไปแล้วถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ผิดพลาด

เราจะพบว่าเมื่อตัดสินใจผิดพลาดแล้ว การที่ผู้นำธรรมดาๆ แทนที่จะยอมรับในความผิดพลาดและแก้ไข กลับยังคงก้าวเดินไปในสิ่งที่ผิดพลาดนั้นถือเป็นปรากฎการณ์ทางจิตวิทยาสำหรับคนทั่วไป มีงานวิจัยจำนวนมากที่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงปรากฎการณ์ดังกล่าว มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นเลยคะ ว่าเมื่อคนเราตัดสินใจไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะพบว่าผิดพลาดก็ยังคงตัดสินใจแบบเดิมอยู่ แถมอาจจะเพิ่มการลงทุนไปในการตัดสินใจเดิม (ที่ผิดพลาด) ก็ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากเปลี่ยนตัดสินใจในทางเลือกอื่น (ที่ไม่ได้เลือกไว้ในตอนแรก) เท่ากับเป็นการยอมรับว่าตนเองตัดสินใจในตอนแรกผิดพลาด ซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่เป็นผู้นำ (ธรรมดาๆ) ที่ย่อมยากที่จะยอมรับได้ว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาด

การไม่ยอมรับต่อความผิดพลาดในการตัดสินใจของผู้นำ (ธรรมดาๆ) นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อคนเราก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ก็ย่อมที่จะมีความรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจมากขึ้น และสามารถที่จะควบคุมหรือบังคบในสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ดังนั้นย่อมมีความเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองตัดสินใจไปแล้ว ถึงแม้ในตอนหลังจะพบว่ามีความผิดพลาด ก็ยังคงยึดมั่นต่อการตัดสินใจเดิมๆ เนื่องจากเชื่อว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตนเองแล้ว ย่อมจะสามารถทำให้สิ่งที่ผิดกลายเป็นสิ่งที่ถูกได้

สรุปก็คือสำหรับคนทั่วๆ ไปและผู้นำธรรมดาๆ แล้ว เมื่อตัดสินใจผิดพลาดแล้วก็มักจะไม่ยอมรับต่อความผิดพลาดดังกล่าว และยังคงมั่งมั่นและตัดสินใจในสิ่งเดิมๆ ที่ได้ทำผิดพลาดไป ความแตกต่างระหว่างผู้นำธรรมดาๆ กับผู้นำที่ดี ประการหนึ่งก็คือผู้นำที่ดีสามารถที่จะยอมรับต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาด และตัดสินใจที่จะเลิกหรือหยุดในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วและพบว่าผิดพลาด

ผู้นำที่ดีจะสามารถที่จะหยุดหรือยกเลิกในโครงการที่ใช้ทรัพยากรเยอะแต่ไม่มีความคืบหน้าหรือก้าวหน้าไปไหน ผู้นำที่ดีย่อมจะต้องสามารถที่จะรู้ว่าหน้าที่ของตนเองนั้นไม่ใช่เพียงแค่การกำหนดกลยุทธ์และนำไปสู่การปฏิบัติเท่านั้น แต่หน้าที่ของผู้นำที่ดีอีกประการหนึ่งคือการที่รู้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ไม่ควรทำหรือควรที่จะหยุด ไม่ทำ ซึ่งตามที่เรียนไว้ในตอนต้นนะคะว่าเป็นสิ่งที่ยากพอสมควร ทั้งเป็นการยอมรับในข้อจำกัด หรือ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงแรก และทำให้คนที่เป็นผู้นำเสียหน้า แต่ผู้นำที่ดีย่อมจะไม่ดื้อด้านดันทุรังทำในสิ่งที่รู้กันอยู่ว่าผิดพลาด

ในช่วงวิกฤตเช่นในปัจจุบัน ท่านผู้อ่านลองมองไปรอบๆ ตัวนะคะว่าผู้นำของท่านในปัจจุบันเป็นผู้นำธรรมดาๆ หรือ ผู้นำที่ดี ซึ่งไม่ยากที่จะแยก


ขอบคุณ : Manager.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

"บาคแมนน์"ถอนตัวชิงตัวแทนรีพับลิกัน สู้ศึกเลือกตั้งปธน.กับโอบามา




นางมิเชล บาคแมนน์ ประกาศถอนตัวจากการคัดเลือกผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน เพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังทำผลงานได้น่าผิดหวังในการเลือกตั้งแบบคอคัสที่รัฐไอโอวา การถอนตัวของเธอทำให้ขณะนี้เหลือผู้เข้าชิงเพียง 6 ราย เพื่อต่อสู้กับประธานาธิบดีบารัก โอบามาในเดือนพฤศจิกายนนี้

นางบาคแมนน์ ซึ่งได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 5 กล่าวภายหลังการตัดสินถอนตัวว่า เธอตัดสินใจถอนตัวและไม่เสียใจต่อการกระทำครั้งนี้ เธอเชื่อว่า ประชาชนทุกคนควรให้การสนับสนุนบุคคลที่ประชาชนทั้งประเทศและพรรคเห็นว่ามีความเหมาะสมในการทำหน้าที่นี้ต่อไป

ด้านวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน สมาชิกคนสำคัญของพรรครีพับลิกัน สนับสนุนนายมิต รอมนีย์ อดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แม้ผลการเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐไอโอวา นายรอมนีย์ชนะคู่แข่งขันมาได้อย่างหวุดหวิด

ส.ว.แมคเคน ซึ่งเคยเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่แล้ว แข่งกับ ส.ว.บารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต แต่พ่ายแพ้ ได้ประกาศสนับสนุนนายรอมนีย์ ซึ่งสะท้อนความพยายามที่จะสร้างความเป็นเอกภาพภายในพรรค ส.ว.แมคเคน เรียกร้องสมาชิกพรรคช่วยสนับสนุนอดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ เพื่อเป็นแรงส่งเข้าสู่ทำเนียบขาว เขายังได้กล่าวโจมตีการทำงานของประธานาธิบดี โอบามาในช่วงเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ว่าทำลายความมั่นคงของประเทศชาติ และว่าโอบามาไม่สามารถซ่อนประวัติการทำงานที่ไม่ดีเอาไว้ได้

ขณะที่นายริก เพอร์รี ซึ่งได้คะแนนมาเป็นอันดับ 5 ประกาศสู้ต่อไป แต่จะมุ่งเน้นการหาเสียงแบบเข้มข้นในการแข่งขันที่รัฐเซาธ์ แคโรไลนา ส่วนนายรอมนีย์ ได้รับการคาดหมายว่าเป็นตัวเต็งสำคัญในการเลือกตั้งแบบคอคัสครั้งถัดไปที่รัฐนิว แฮมเชียร์ในสัปดาห์หน้า

ศาสตราจารย์แดนนี่ เฮย์ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยอเมริกันในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า เหมาะสมแล้วที่เธอถอนตัว เพราะโอกาสที่จะชนะประธานาธิบดีโอบามาไม่น่าจะเป็นไปได้ อีกทั้งยังอ่อนประสบการณ์ทางการเมืองอีกด้วย

การเลือกตั้งแบบคอคัส หรือการประชุมของสมาชิกหรือกลุ่มผู้นำของพรรคการเมืองเพื่อลงคะแนนเลือกตัวแทนทางการเมือง จะจัดขึ้นใน 50 รัฐของสหรัฐฯ ในช่วงอีก 6 เดือนนับจากนี้ ก่อนที่จะมีการคัดเลือกตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ในเดือนสิงหาคมนี้ ที่การประชุมใหญ่ของพรรคที่รัฐฟลอริดา เพื่อเป็นตัวแทนในการแข่งขันชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯกับปธน.โอบามาในเดือนพฤศจิกายนนี้


9 เรื่องไม่ธรรมดา ของผู้นำโสมแดง 'คิม จอง อิล'



คิม จอง อิล


ในขณะที่ประชาชนชาวเกาหลีเหนือกำลังโศกเศร้ากับการจากไปของ คิม จอง อิล ผู้นำสูงสุดของประเทศเกาหลีเหนือ 


นายทอม ฮัตชินตัน นักข่าวอังกฤษ ก็ได้เปิดเผยข้อมูลที่ไม่ธรรมดาของ คิม จอง อิล โดยการหยิบยกเรื่องไม่ธรรมดา 9 อย่าง ของคิม จอง อิล โดยอ้างที่มาจากข้อมูลที่ทางเกาหลีเหนือเป็นผู้เปิดเผยออกมาเอง ไว้ดังนี้

1. คิม จอง อิล เกิดขึ้นมาบนโลกนี้พร้อมกับเรื่องเหนือธรรมชาติ หนังสือระบุว่า คิม จอง อิล เกิดที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แพกทู ในปี 1942 และในขณะที่เขาเกิดนั้น ฤดูหนาวตามธรรมชาติ กลับแปลเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ พร้อมกับเกิดรุ้งกินน้ำด้วย

2. คิม จอง อิล เป็นนักเล่นกอล์ฟที่เก่งที่สุดในโลก โดยใครั้งแรกที่เขาได้ลองเล่นกีฬาชนิดนี้เมื่อปี 1994 เขาก็สามารถทำ โฮลด์ อิน วัน (ตีลงหลุมในครั้งเดียว) ได้ถึง 11 ครั้ง

3. คิล จอง อิล เคยสั่งให้ลักพาตัวผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเกาหลีใต้ถึง 2 คน และให้มาสร้างภาพยนตร์สัตว์ประหลาด เพื่อโฆษณาทางการเมืองด้วย

4. นายฮัตชินตัน อ้างข้อมูลจากสำนักชีววิทยาแห่งชาติเกาหลีใต้ ระบุว่า ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต คิม จอง อิล ไม่เคยถ่ายอุจจาระเลย

5. ในปี 2004 คิม จอง อิล ออกมาเปิดเผยด้วยตัวเอง ว่าเขาเป็นคนคิดค้น แฮมเบอร์เกอร์

6. คิม จอง อิล จะทานข้าวที่มีความยาวของเมล็ดเท่ากันเท่านั้น โดยเขาจะสั่งให้แม่บ้านคัดข้าวทีละเมล็ด จนมีขนาดและสีเท่ากันหมด

7. คิม จอง อิล เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ โดยเขาสามารถสร้างยาที่ทำให้คนตัวเตี้ยสูงขึ้นได้ และรัฐบาลเกาหลีเหนืออ้างว่า มีผู้ทดลองใช้ยานี้แล้วจำนวนหลายพันคน

8. คิม จอง อิล ชอบดื่มคอนญัก (บรั่นดีของฝรั่งเศส) มาก โดยเฉพาะคอนญักยี่ห้อ เฮนเนสซี โดยเขาใช้เงินราว 464,000 ปอนด์ เพื่อนำเข้าเครื่องดื่มสุดโปรด

9. หนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนือ รายงานว่า ชุดที่คิม จอง อิล สวมใส่ประจำนั้น เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก และตัวนายคิมเองก็เป็นผู้นำทางแฟชั่นด้วย.


ขอบคุณ: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

วิเคราะห์ เหตุไฉน ผู้นำทางธุรกิจการเมืองระดับโลก ดอดพบปะเจรจา ออง ซาน ซูจี




ผู้นำและบุคคลสำคัญจากหลายประเทศเดินทางเยือนพม่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งเพื่อพบปะเจรจากับบรรดาผู้นำในรัฐบาลพม่าและผู้นำประชาธิปไตยนางออง ซาน ซูจี หลายฝ่ายเชื่อว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดีซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าด้านการปฏิรูปประชาธิปไตยในพม่า แต่นักวิเคราะห์บางคนเตือนว่าการเมืองพม่ายังคงเปราะบาง

ในวันจันทร์ที่ 2 มกราคมตามเวลาในพม่า ผู้นำฝ่ายค้านพม่านางออง ซาน ซูจี เปิดบ้านริมทะเลสาบต้อนรับเศรษฐีนักธุรกิจชั้นนำชาวอเมริกัน นายจอร์จ โซโรสซึ่งนับเป็นบุคคลสำคัญรายล่าสุดที่เดินทางเข้าเยี่ยมเยือนนางซูจีนับตั้งแต่เธอได้รับอิสระจากการกักบริเวณเมื่อปีที่แล้ว

ศาสตราจารย์คาร์ล เทเยอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์แห่งสถาบันป้องกันประเทศออสเตรเลีย   เปิดเผยว่า  ขณะนี้มีนักธุรกิจสำคัญและผู้นำทางการเมืองเข้าแถวรอพบนางออง ซาน ซูจี เพื่อขอมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพม่า พร้อมชี้ว่าแม้นางออง ซาน ซูจีจะเฉลียวฉลาดแต่ก็ค่อนข้างโดดเดี่ยวแปลกแยก เธอจึงต้องการคำปรึกษาด้านการเงินจากบุคคลอย่างจอร์จ โซโรสและคนอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตย

ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีผู้นำทางการเมืองจากหลายประเทศเดินทางเยี่ยมเยือนพม่าและพบปะกับนางซูจี ได้แก่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐนางฮิลลารี่ คลินตัน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซียและญี่ปุ่น

รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่าการที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเดินทางเยือนพม่าถือเป็นการเปิดประตูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศขึ้นมาใหม่ และถือเป็นไฟเขียวที่อนุญาตให้ประเทศอื่นเริ่มยุติมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจและเริ่มให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่พม่าด้วย


อย่างไรก็ดี รศ.ดร.ฐิตินันท์เชื่อว่าประเทศต่างๆควรระวังไม่แสวงหาผลประโยชน์ทางการค้ากับพม่ามากเกินไปและรีบร้อนเกินไปในตอนนี้ เพราะเชื่อแน่ว่ามีหลายกลุ่มที่กำลังจ้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในพม่าตาเป็นมัน เนื่องจากพม่านั้นมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติสำคัญมากมาย ทั้งก๊าซธรรมชาติ อัญมณีและป่าไม้


นับตั้งแต่รัฐบาลประธานาธิบดีเต็ง เส่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ได้เกิดความก้าวหน้าทางประชาธิปไตยหลายอย่างในพม่า รวมถึงการเจรจาครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีเต็ง เส่งกับนางออง ซาน ซูจี ซึ่งรศ.ดร.ฐิตินันท์เชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อแนวโน้มการปฏิรูปการเมืองพม่าในระยะยาว รศ.ดร.ฐิตินันท์ชี้ว่าขณะนี้รัฐบาลพม่าได้ก้าวลงลึกด้านการปฏิรูปการเมืองเกินกว่าจะหยุดยั้งหรือหันหลังกลับ ประกอบกับการที่พม่าจะได้ขึ้นเป็นประธานสมาคมอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้าทำให้เชื่อได้ว่ากระบวนการปฏิรูปการเมืองของพม่าจะดำเนินต่อไปในระยะยาว


ถึงกระนั้นก็ดี อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งต่อความก้าวหน้าทางการเมืองในพม่าคือปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกักขังนักโทษการเมืองที่คาดว่ามีจำนวนมากกว่า 1,600 คน ล่าสุดมีรายงานว่าประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้ลงนามในคำสั่งอภัยโทษนักโทษบางส่วนเนื่องในวันครบรอบ 64 ปีที่พม่าประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีนักโทษจำนวนมากน้อยแค่ไหนที่ได้รับประโยชน์จากคำสั่งอภัยโทษดังกล่าว

ขอบคุณที่มา: มติชนออนไลน์ วันที่ 3 มกราคม 2555