วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เปิดโฉม"สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง"ซูเปอร์สตาร์-นายพลหญิง"ผู้โด่งดังกว่าสามีปธน.แดนมังกร"


เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พ.ย. นายสี จิ้นผิงเพิ่งได้รับการประกาศจากพรรคคอมมิวนิสต์ให้เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนใหม่ของแดนมังกรอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับประชาชนจีนแล้ว พวกเขากลับคุ้นเคยกับ "เป็ง ลิหยวน"ภรรยาผู้เป็นดารานักร้อง มากกว่า

"เป็ง ลิหยวน"นายพลหญิงผู้โดดเด่น ภริยาของนายสี จิ้นผิง ซึ่งจะเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของจีนในอีก3เดือนข้างหน้า มีภูมิหลังน่าสนใจอย่างยิ่ง

เธอเป็น"ราชินีเพลงพื้นบ้านชื่อดัง" เคยปรากฎโฉมทางจอโทรทัศน์ ท่ามกลางสายตาของผู้ชมชาวจีนหลายร้อยล้านคนมานานกว่าสิบปี

เธอสร้างความสำเร็จในวงการบันเทิงอย่างมากมาย และบทบาทดังกล่าว ก็ดำเนินไปพร้อมกับจุดยืนภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์

เป็ง ลิหยวน เข้าสู่กองทัพปลดแอกประชาชนจีน เมื่ออายุได้ 18 ปี จนกระทั่งผงาดกลายเป็นนายพลหญิง

 แต่ก่อนที่เธอจะเจิดจรัสกลายเป็น"ดาวผู้รุ่งโรจน์"ของแผ่นดินจีน ผู้บังคับบัญชาได้ค้นพบว่า เธอมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงและเชิญให้ไปร้องเพลงตามค่ายทหารต่าง ๆ  เพื่อปลุกขวัญกำลังใจของเหล่าทหารหาญแดนมังกร 

 เธอโด่งดังเป็นพลุแตกกลายเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมากหลังจากออกรายการของสถานีโทรทัศน์"CCTV"ในช่วงงานเลี้ยงปีใหม่ ซึ่งเป็นโชว์ที่ชาวจีนกว่าร้อยล้านคนทั่วประเทศร่วมชม

กล่าวกันว่า เพลงทุกเพลงที่เธอร้อง ต่างได้รับการชื่นชอบจากพรรคคอมมิวนิสต์ และปรากฎโฉมทางโทรทัศน์เป็นประจำเพื่อร้องเพลงปลุกขวัญกำลังใจ รวมทั้งเพลงปลุกใจดังอย่าง"ทุ่งแห่งความหวัง"และ"คนจากหมู่บ้านเรา" 

ต่อมา ในปี 2011 เธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีขององค์การอนามัยโลก เพื่อช่วยรณรงค์ต่อสู้ปัญหาโรคเอดส์ และวัณโรค



แต่หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ เริ่มกระบวนการแต่งตั้ง"สี จิ้นผิง"เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนใหม่ "เป็ง ลิหยวน"เก็บตัวเงียบไม่ปรากฎตัวต่อหน้าต่อสาธารณชน หรือพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีต่อสื่อมวลชนเลย ทำให้เกิดกระแสคาดเดากันว่า เธออาจมีบทบาทโดดเด่นมากกว่าสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ผ่าน ๆ มาทุกคนของจีน

ในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก เมื่อปี 2007 เธอเผยกับนิตยสารฉบับหนึ่งของทางการจีนว่า

 "เมื่ออยู่บ้าน  ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้นำอยู่ในบ้านด้วย ในสายตาของดิฉันนั้น สี จิ้นผิง เป็นเพียงแค่สามี และเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าดิฉันเป็นดาราดัง คิดว่าเป็นแค่ภรรยาธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น"

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอยังคงเป็นหนึ่งในดาวดวงเด่นที่สุดของแดนมังกร แต่สำหรับ"สี จิ้นผิง"ผู้เป็นสามี กลับเป็นที่รู้จักสำหรับชาวจีนน้อยกว่ามาก

ว่ากันว่า นายสี จิ้นผิง เคยใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นที่ยากลำบาก อาศัยอยู่ใน"บ้านถ้ำ"ใช้แรงงานอยู่ในทุ่งนาที่เป็นพื้นที่ยากจนที่สุดของประเทศ  

ตามประวัติ"สี จิ้นผิง"เป็นลูกชายของนายพล"สี หงซุน"สหายของอดีตประธานเหมา เจ๋อตุง

ชีวิตในช่วงวัยรุ่นต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมาก หลังจากพ่อของเขาร่วงลงจากอำนาจถูกส่งตัวไปคุมขังในเรือนจำ  "สี จิ้นผิง"ต้องลี้ภัยตัวเองไปอยู่เมือง"เหลียงเจียฮี"ในมณฑลซานซี อาศัย"อยู่ในบ้านถ้ำ" ถูกบังคับใช้แรงงานในทุ่งนา ครอบครัวอยู่อย่างชาวนา  อยู่ใน"บ้านถ้ำ"ที่ขุดจากภูเขา

ในการประชุมสภาประชาชนจีนเดือนมีนาคม ปีหน้า"สี จิ้นผิง"จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการแทนนายหู จิ่นเทา 

ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ไม่เคยมีปัญหากับชีวิตทางการเมืองเลย หากเทียบกับชีวิตในวัยรุ่นที่ยากลำบากแสนสาหัส !!!

ที่มา: มติชนออนไลน์ วันที่ 16 พ.ย.55

"สุขุม-เสน่ห์" เผยเหตุผลที่แท้จริง ทำไม?คนไทย "ขี้โกง"




วันที่ 16 พ.ย. ในงานวันคล้ายสถาปนาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการเสนาในหัวข้อ "โกงไม่เป็นไร ขอให้ฉันได้ประโยชน์ สังคมไทยรับได้หรือ" รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า คนดีทำงานได้ไม่ถึงใจหรือมีผลงานที่ไม่ทำให้คนรู้สึกว่าได้ประโยชน์ พอมีคนเก่งเข้ามาทำให้เขาได้ประโยชน์ เขาก็หลงไหลหรือศรัทธาคนเก่ง ต่อมาคนเก่งถูกกล่าวหาว่าโกง เขาก็เลยบอกว่าโกงก็รับได้ ขอให้เขาได้ประโยชน์ ตรงนี้เป็นที่ชัดเจนว่า คนมองประโยชน์ของตนเป็นหลัก ในขณะที่คนโกงบางครั้งก็บอกว่าใครๆ ก็โกง เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ถ้าเชื่อกันแบบนี้มากๆ ก็จะกลายเป็นการทุจริตคอรัปชั่นอย่างไม่มีสิ้นสุด

"ผมต้องการความรวดเร็ว กรรมต้องเห็นทันตาคนถึงจะเห็นเป็นตัวอย่าง หรือทำให้เห็นว่าต้องทำความดี เพราะทำความชั่วแล้วจะติดตามตัวเรา ซึ่งจะทำให้คนกลัวการกระทำของตัวเอง และต้องสอนตั้งแต่เด็ก เด็กนี่แหละที่จะเติบโตขึ้นมา เพราะเด็กมีอิทธิพลต่อพ่อแม่สูงมาก อย่างผมเองยอมรับเลยว่าส่วนหนึ่งที่คิดอยู่ตลอดเวลาคือลูกจะขายหน้าเราหรือไม่ถ้าเราโกง" รศ.สุขุม กล่าว

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของเอแบคโพลและสวนดุสิตโพล เป็นที่ชัดเจนว่าคนไทยรับได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตกใจ โดยยกตัวอย่างนักการเมือง เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย ที่สามารถบริหารบ้านเมืองโดยไม่ทุจริต จนพาประเทศชาติรอดพ้นวิกฤตได้ พร้อมกันนี้ ยังตั้งข้อสงเกตุว่า การเมืองสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เหมือนใคร เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้นโยบายต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนรักและศรัทธา พอถูกจับได้ว่าทุจริต ประชาชนจึงมองว่าเป็นเรื่องที่รับได้ เพราะคนไทยคลั่งไค้ลฮีโร่ ฉะนั้น เมื่อฮีโร่ทำผิดจึงคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา

อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ นักพูดและคอลัมนิสต์ มองว่า เรื่องโกงเป็นเรื่องที่พูดง่าย หากมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวเราคือ การได้ประโยชน์จากการโกง ซึ่งสิ่งนี้มีความชัดเจน เช่น เรามีความรู้สึกว่าโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของเรา จะร้อนก็ร้อนไป ใครจะไปต่อต้านภาวะเรือนกระจกไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องของเรา แต่วันนี้ภาวะโลกร้อนได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนโดยถ้วนหน้า การทุจริตคอรัปชั่นถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวในความของคนหลายคนในวันนี้ แต่วันหนึ่งการโกงนั้นก็จะกลับเข้ามาเป็นเหมือนภาวะโลกร้อน เข้ามารุมเร้า ท้ายที่สุดต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกิดขึ้นมากมายความย่อยยับ ความหายนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรารู้แล้วต้องเร่งรณรงค์ทำให้ได้ เพราะบางเรื่องเราคิดว่าทำไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วเราทำได้ ต้องทำให้เรื่องทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ทุกคนต้องสู้ ไม่ใช่สู้บางคน หรือว่าทำเฉพาะที่เป็นผลประโยชน์ของเรา

อ.เสน่ห์ ยังกล่าวอีกว่า พอเห็นค่านิยมของคนที่ยอมรับว่าโกงแล้วได้ประโยชน์นั้น ตนรับไม่ได้เด็ดขาด ถ้าคนเดินบนท้องถนนเป็นร้อย ถามว่าคนไหนไม่โกงบ้างคงไม่มี ปัจจุบันหลายอย่างมีการอำนวยความสะดวก เด็กเจอเรื่องทุจริตตั้งแต่เข้าเรียน เจอทุกหย่อมหญ้าจนกลายเป็นค่านิยม อีกหน่อยต้องมีป.ป.ช. ระดับอำเภอ ตำบล หรือหมู่บ้าน เพื่อปราบคนโกง ซึ่งอาจจะเป็นไปได้

ทั้งนี้ เราควรพูดเรื่องจิตสำนึก คุณธรรม คือสังคมเราชอบให้อภัย มีจิตใจเอื้อเฟื้อ สังคมชอบผลักดันคนให้เป็นคนดีโดยปริยาย โดยเฉพาะคนสาธาระ ซึ่งคนเหล่านี้ ต้องเป็นตัวอย่าง สังคมต้องผลักดันคุณธรรมด้วย แต่ที่ผ่านมาชอบมีการอ้างว่าคนที่ทำประโยชน์ โกงไม่เป็นไร หรือที่ชาวบ้านมองว่า "โกงไม่เป็นไร ขอให้เล่าข่าวเก่ง"

สิ่งที่น่ากลัวคือคำว่าโกง ทุจริต ไม่มีอะไรจับต้องได้ ซึ่งต่างจากการถ่ายทอดการแข่งขันกีฬา พอเราไม่ถูกใจก็จะหาว่ากรรมการโกง แต่การทุจริตวันนี้ สังคมที่มีการโกงกันเราไม่รู้ เราไม่เห็น ลึกลับ รู้แต่รู้ไม่หมด เพราะไม่มีการนำเสนอ ยกตัวอย่างประเทศเกาหลี ที่บอกว่าชอบโกง แต่เขาก็เอาชนะโดยการไม่โกงคืน เขาสามารถเปลี่ยนคนให้เอาชนะโดยการไม่โกงได้

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช. กล่าวว่า ป.ป.ช. คำนึงถึงเรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องหลัก เพราะมีหน้าที่หนักไปด้านการปราบปราม และได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่า โดยมีแผนยุทธศาสตร์ชาติในการป้องกันและปราบปราบการทุจริต ขณะเดียวกันการทุจริตคอรัปชั่นก็ยังมีมากเรื่อยๆ ทั้งนี้ ป.ป.ช.ให้ความสำคัญในแผน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.งานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ด้านวินัยต่างๆ 2.การสร้างพลังเครือข่ายต่างๆ ในการป้องกัน การประสานทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อเข้ามาเป็นพลังในการขับเคลื่อน 3.เครื่องมือในการทำงาน หรือกฎหมายมาช่วยในการทำงาน ซึ่งป.ป.ช. มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับการป้องกัน เช่น กฎหมายคุ้มครองพยาน กฎหมายอายุความเพื่อสะสางงานที่คงค้าง โดยต้องทำความเข้าใจ อีกฉบับหนึ่งคือ การให้มีป.ป.ช.จังหวัด โดยจะให้มีครบในทุกจังหวัดในเดือนเม.ย. ปี 2556 และ 4.การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลากร เพราะการทำงานมีความสลับซับซ้อน ยิ่งมีการทุจริตเชิงนโยบาย มีการบิดเบือนเพื่อหาผลประโยชน์ ก็ยิ่งต้องมีมาตราการเพิ่ม จึงมีสถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริจสัญญาธรรมศักดิ์ เพื่อพัฒนาบุคลากรขึ้นมา

สุดท้ายต้องมีการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง หรือมีการสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการทุจริตว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย สังคมต้องไม่ยอมรับเรื่องนี้ มากกว่านั้น ต้องยกย่องคนดีให้ปรากฎ และต้องให้ความสำคัญกับบุคคลเป้าหมาย นั่นก็คือเยาวชน ดึงเยาวชนให้กลับมาร่วมทำงาน ตลอดจนการดึงเข้ามาเป็นเครือข่าย ส่วนเรื่องคุณธรรมจริยธรรมนั้น ควรมีการปรับหลักสูตรการเรียนการสอน โดยใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่นเดียวกับการให้ภาครัฐมีส่วนช่วยในการผลักดัน

การทุจริตบ้านเราเป็นปัญหาลำดับต้นๆ ไม่ต่างจากปัญหายาเสพติด จึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก ยิ่งการเปิดเวที การเปิดประชาคมอาเซียน ต้องมีการปรับภาพลักษณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ต้องมีแนวทางที่ชัดเจน หลายฝ่ายเข้ามาร่วมมือในการทำงาน เพราะการต่อต้านทุจริตเป็นหน้าที่ของคนทั่วประเทศ

ขอบคุณที่มา : มติชนออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ศึกชิงบัลลังก์พญาอินทรี โอบามา vs รอมนีย์


กล้สู่โค้งสุดท้ายของศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผู้นำที่ทรงอิทธิพลต่อโลก

สำหรับภูมิภาคอาเซียน เป็นเขตยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบันของนายบารัก โอบามา เบนเข็มมาให้ความสำคัญมากขึ้น ในพื้นที่รวมของเอเชีย-แปซิฟิก แข่งขันกับมหาอำนาจจีน

แต่หากมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน พลิกคว้าชัยชนะจะเกิดการเปลี่ยน แปลงยุทธศาสตร์หรือไม่ เป็นประเด็นที่น่าติดตาม

รศ.สีดา สอนศรี คณบดีวิทยาลัยการเมืองการปกครองมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดประเด็นว่า แม้สหรัฐจะเป็นมหาอำนาจที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจ การปกครอง รวมถึงสังคม และวัฒนธรรมในระดับโลก แต่ไม่ถึงกับมีอิทธิพลมากนักต่ออาเซียน เพราะอยู่ไกล ไม่เหมือนยุโรปหรือตะวันออก กลางที่มีความเกี่ยวเนื่องกันในหลายๆ ด้าน

ถึงอย่างนั้นนโยบายต่างประ เทศที่โอบามาวางไว้ เรื่องการขยายความสัมพันธ์ กับเอเชียและอาเซียน ก็ดูจะส่งเสริมให้ภูมิภาคเรามีโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งเทคโนโลยีที่จะแลกเปลี่ยนกัน

ขณะที่นโยบายของนายรอมนีย์ ซึ่งเน้นเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ หากมองผิวเผินดูจะไม่เกี่ยวกับอาเซียน แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ จะเห็นว่าความเจริญทางสังคมและเศรษฐกิจ ต่างมีรากฐานอยู่บนความมั่นคงของประเทศ

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าใครจะชนะ สิ่งสำคัญสำหรับอเมริกาตอนนี้ คือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ได้เสียก่อน จุดนี้อาเซียนอาจเข้าไปมีบทบาทได้ เพราะปัจจุบันเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง 




สหรัฐซึ่งขาดทรัพยากรหรือต้องการลดต้นทุนการผลิต แต่ไม่อยากลงทุนในจีน จะมีส่วนช่วยให้ความสัมพันธ์ในแง่การค้าระหว่างสหรัฐและอาเซียนแนบแน่นขึ้น

ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร ผู้เชี่ยวชาญสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หากประธานาธิบดีโอบามาได้รับเลือกตั้งอีกสมัย เชื่อว่า นโยบายต่างๆ ทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ และความมั่นคงไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากเพราะโอบามารู้แล้วว่าสหรัฐไม่ได้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว

ต่างจากช่วงรับ ตำแหน่งใหม่ๆ โอบามาสัญญาไว้ว่าจะเปลี่ยนโน่นปรับนี่ จะปิดคุกกวนตานาโมในคิวบา จะรีบถอนทหารจากอัฟกา นิสถาน จะทำให้โลกปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ความคิดเหล่านี้เป็นเพียงอุดมคติ แต่เมื่อลงมือทำจริงก็ทำได้เพียงครึ่งเดียว

ถึงอย่างนั้นสิ่งหนึ่งซึ่งโอบามาทำนอกกรอบนโยบายที่วางไว้ คือการขยายความสนใจมายังเอเชีย-แปซิฟิกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะขณะที่สหรัฐมีปัญหาเศรษฐกิจ โอบามารู้แล้วว่าจะยืนหยัดสู้เพียงลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะเอเชีย

แม้สหรัฐจะต้องเผชิญหน้ากับอิทธิพลและบท บาทของจีน แต่ก็มองว่าคุ้มค่าน่าเสี่ยงลงทุน

ทางด้านรอมนีย์จะเป็นผู้นำแบบอนุรักษนิยมตามแนวทางของพรรค รีพับลิกันที่เน้นความเด็ดขาดและอำนาจทหาร ที่สำคัญเขาเป็นนักธุรกิจก็จะเน้นเรื่องเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะกระตุ้นการลงทุน ส่งเสริมนโยบายเอื้อบริษัทใหญ่ รวมทั้งมาตรการคานอำนาจกับจีน

รอมนีย์คิดว่าจีนทำให้สหรัฐเสียดุลการค้า แต่ไม่เคยโทษระบบทุนนิยมที่เอื้อประโยชน์ให้คนรวย ซ้ำยังเชื่อว่าจีนปั่นค่าเงินแกล้งสหรัฐ แต่ไม่วิเคราะห์ว่าบริษัทสหรัฐต่างหากที่เข้าไปลงทุนในจีน ไปสร้างรายได้ตั้งเท่าไหร่ จีนเป็นแค่ฐานผลิต และมีรายได้น้อยนิดจากกำไรที่สหรัฐทำได้

"การเชื่อโดยอคติ ทำให้เห็นได้ว่ารอมนีย์ต่างจากโอบามาอย่างสิ้นเชิงและถ้ารอมนีย์ได้เป็นผู้นำจริงๆ ก็คงจะวุ่นวายน่าดู"
ด้าน รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไม่ว่าผลเลือกตั้งวันที่ 6 พ.ย. จะออกมาอย่างไร นโยบายที่ผู้นำสหรัฐควรเร่งวางรากฐาน คือมาตรการต่อเอเชีย ทั้งประเด็นความสัมพันธ์กับจีน ปัญหาคาบสมุทรเกาหลี กรณีพิพาทร่วมในทะเลจีนใต้ รวมถึงการขยายกรอบความร่วมมือกับอาเซียน 

แม้สหรัฐจะอยู่ห่างไกล แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าทุกความเคลื่อนไหวของเอเชียต้องมีสหรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น ในอนาคตเราจะได้เห็นการแข่งขันทางอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐมากขึ้นและมีแนวโน้มว่าผลกระทบจะขยายมายังอาเซียนด้วย ในแง่ของการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อท่าทีของชาติสมาชิก ซึ่งมีทั้งพันธมิตรสหรัฐอย่างฟิลิปปินส์และประเทศซึ่งอิงจีน ทั้งกัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ 

แต่สหรัฐที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจทรุดตัวและจีนจะเปลี่ยนแปลงระดับสูงในเร็วๆ นี้ พอจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า หากอาเซียนเหนียวแน่นและนึกถึงประโยชน์ของประชาคมเป็นหลัก บทบาทของมหาอำนาจก็ไม่มากพอที่จะทำให้แตกแยกได้ 

"ข้อสังเกตก็คือ การที่ประธานาธิบดี โอบามาประกาศจะร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 21 ในวันที่ 15-20 พ.ย. ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชาด้วย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่จะสร้างความร่วมมือระหว่าง 2 ภูมิภาคได้เป็นอย่างดี"



ขอบคุณ : ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2555